"ไอเอส" ขยายอิทธิพลมาอาเซียน
แรงสนับสนุนไอเอสในอาเซียนเพิ่มขึ้น อินโดนีเซียเสี่ยงสุด หวั่นป้องกันภัยได้ยาก
แรงสนับสนุนไอเอสในอาเซียนเพิ่มขึ้น อินโดนีเซียเสี่ยงสุด หวั่นป้องกันภัยได้ยาก
เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล ของสหรัฐ รายงานอ้างคำกล่าวของบรรดานักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า แรงสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในกลุ่มสายสุดโต่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้จุดชนวนความกังวลต่อการป้องกันการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้น
นักวิเคราะห์ ระบุว่า ความเสี่ยงในประเทศอินโดนีเซียนั้นมีสูงที่สุด โดยอินโดนีเซียนั้นเป็นประเทศที่มีชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก และยังเคยมีประวัติของการเกิดการระเบิดก่อการร้ายด้วย ซึ่งในปัจจุบันประเมินว่ามีชาวอินโดนีเซียหลายร้อยคน ซึ่งหมายรวมถึงทั้งครอบครัวที่เดินทางไปซีเรียและอิรักเพื่อร่วมต่อสู้กับไอเอส พร้อมกับใช้ชีวิตใหม่ที่ประเทศดังกล่าว
ทั้งนี้ แม้ผู้ที่เดินทางไปร่วมกับกลุ่มไอเอสอาจจะไม่มีความตั้งใจที่จะเดินทางกลับมายังบ้านเกิด แต่บรรดาเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียแสดงความกังวลว่า จะเป็นการจุดประกายความคิดในการก่อเหตุให้กับกลุ่มสุดโต่งในประเทศได้
ด้านประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย ได้ให้สัมภาษณ์กับวอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า กลุ่มไอเอสนั้นเป็นความกังวลระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของอินโดนีเซีย และไอเอสนั้นอยู่ในประเด็นการพูดคุยกับผู้นำของประเทศอื่นๆ เสมอ
ในขณะที่ อารีฟ ดาร์มาวัน รองผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันการก่อการร้ายแห่งชาติของอินโดนีเซีย กล่าวว่า ขณะนี้กำลังพยายามที่จะบังคับใช้อำนาจทางกฎหมายเพื่อดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ติดอาวุธในประเทศที่สนับสนุนไอเอส
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายนั้นยังมีอุปสรรคอยู่ โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ระบุว่า แม้มาเลเซียประสบความสำเร็จในการทำลายแผนของผู้ก่อการร้าย ทว่า การดำเนินคดีต่อผู้ที่ถูกระบุว่ามีความผิดยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้แล้ว ดาร์มาวัน ระบุต่อไปว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ก็คือ ประสบปัญหาในการติดตามประชาชนที่เดินทางไปซีเรียและอิรัก
ทั้งนี้ การก่อเหตุโจมตีของไอเอสในภูมิภาคอื่นๆ ยังมีอยู่ต่อเนื่อง โดยที่อิรัก ไอเอสได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบในเหตุคาร์บอมบ์ฆ่าตัวตายขึ้น ในวันที่ 17 ก.ค. ที่ตลาดแห่งหนึ่งในเมืองคานห์ บานี ซาอัด ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กแล้วอย่างน้อย 115 คน และมีผู้บาดเจ็บอีกมากกว่า 170 คน
ภาพ เอเอฟพี


