ย้อนรอยเส้นทางสร้างชาติ แห่งเวียดนาม
คราวที่แล้วผมทิ้งท้ายการเดินทางเวียดนามไว้ที่ วัดวันเหมียว มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม ที่นำเที่ยวโดย
โดย...โยโมทาโร่
คราวที่แล้วผมทิ้งท้ายการเดินทางเวียดนามไว้ที่ วัดวันเหมียว มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม ที่นำเที่ยวโดยสายการบิน เวียดเจ็ตแอร์ แต่ถ้าเราจะไม่พาไปเดินชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของชาวเวียดนามอื่นๆ โดยเฉพาะสถานที่ที่มีส่วนในการสร้างชาติ 2 ยุคสมัยอย่าง ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม หรือทะเลสาบคืนดาบ และบ้านพักของโฮจิมินห์ นั่นก็คงกระไรอยู่ ซึ่งความเป็นมาในการสร้างชาติของเวียดนามนั้น เรียกได้ว่า พวกเขาต้องผ่านอะไรมามากทีเดียว
จุดที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเวียดนาม ก็คือ วัดหงอกเซิน ตั้งอยู่กลางทะเลสาบคืนดาบ (ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม) สถานที่นี้มีสะพานไม้อันเป็นเอกลักษณ์ ที่มีชื่อว่า สะพานเทฮุก (The Huc) หรือ “สะพานแสงอาทิตย์” สถานที่นี้เน้นสีแดงซึ่งได้อิทธิพลตามสถาปัตยกรรมจีนที่เข้ามาครอบครองดินแดนเวียดนาม หรืออาณาจักร วัน ลาง ตั้งแต่ 111 ปีก่อนคริสต์ศักราช ทะเลสาบคืนดาบโดยรอบได้รับการปรับปรุงตกแต่งด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างร่มรื่น มีความสวยงามไม่ว่าจะเดินเที่ยวในช่วงกลางวันหรือกลางคืน เราก็จะได้เห็นความสวยในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปเป็นอีกหนึ่งสถานที่
วัดหงอกเซิน เป็นวัดขนาดเล็ก ภายในมีวิหารชั้นเดียวสำหรับบูชาเทพเจ้ามีมุมสวยๆ ที่ประดับประดาด้วยไม้ดัด รูปทรงต่างๆ มีศาลาและจุดชมวิวทะเลสาบที่เวลานี้ล้อมรอบไปด้วยเมืองตึกรามบ้านช่องที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บริเวณกลางทะเลสาบ จะได้เห็นเจดีย์โบราณ โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ว่ากันว่าเจดีย์โบราณกลางทะเลสาบนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 เรียกกันว่า หอคอยเต่าซึ่งเต่านี้อย่างที่เคยเล่าไปว่าในลัทธิขงจื๊อ เต่า นกกระเรียน และมังกร เป็นสัตว์มงคลที่มีอิทธิพลทางความเชื่ออย่างมาก และหอคอยนี้เองที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในการสร้างชาติของเวียดนาม
เล่ากันว่าในช่วงศตวรรษที่ 15 แม่ทัพเลเหล่ย ต้นราชวงศ์เล นำทัพต่อสู้กับกองทัพแห่งราชวงศ์หมิง แต่การต่อสู้นั้นยาวนานและไม่มีทีท่าว่าจะชนะในการศึก ระหว่างที่ล่องเรืออยู่ในทะเลสาบ ก็มีเต่าตัวหนึ่งโผล่มาจากน้ำ ปากนั่นคาบดาบไว้เล่มหนึ่ง ว่ายน้ำมาใกล้ๆ มอบดาบเล่มนี้ให้แล้วก็ดำน้ำหายไป แม่ทัพเลจึงเชื่อว่าเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมาใช้ในการขับไล่ชาวจีนที่เข้ามารุกรานให้ออกไปจากเวียดนามและก็ทำได้สำเร็จ สถาปนาราชวงศ์เล ปกครองเวียดนามในเวลาต่อมา
วันหนึ่งจักรพรรดิเล ล่องทะเลสาบแห่งนี้อีกครั้ง ก็มีเต่าโผล่ออกมา กล่าวว่า ท่านต้องคืนดาบเล่มนี้แก่เจ้ามังกร แล้วดาบเล่มนั้นก็ลอยออกจากฝักไปหาเต่าแล้วดำน้ำหายไป ชาวเวียดนามเชื่อกันว่าทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่มาของทะเลสาบคืนดาบนั่นเอง ถ้าอยากรู้รายละเอียดเรื่องราวต่างๆ ก็มีการแสดงอยู่ที่โรงละครฮานอย ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามสะพามข้ามไปยังวัดหงอกเซินนั่นเอง
โรงละครแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1911 เป็นโรงละครที่ใช้แสดงในการแสดงหลายอย่าง แต่ที่เป็นไฮไลต์และจัดแสดงวันละหลายๆ รอบเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ก็คือ การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งหาดูชมได้ยาก จะว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับการแสดงหุ่นกระบอกบ้านเรานั่นละครับแต่ของเขาแสดงกันในน้ำ มีไม้และเครื่องเชิดบังคับอยู่ใต้น้ำ ที่ต้องใต้น้ำนั่นก็เพราะประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่อยู่ติดทะเล ทะเลเป็นชีวิตของชาวเวียดนาม การแสดงนี้ก็แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของพวกเขาได้ดีเช่นกัน
การแสดงจะเริ่มตั้งแต่วิถีชีวิตชาวนาของเวียดนาม มีการละเล่น การเกี้ยวพาราสี คล้ายๆ กับบ้านเรา ดูกันเพลิน ขับกล่อมเล่าเรื่องราวด้วยทำนองเสียงร้องและเครื่องดนตรีพื้นบ้านและจบท้ายด้วยการแสดงที่เล่าเรื่องราวของทะเลสาบคืนดาบอย่างที่กล่าวมานั่นเอง ค่าเข้าชมราวๆ 3.5 หมื่นด่อง คิดเป็นเงินไทยก็ไม่กี่ร้อยบาทครับ
ใช้เงินด่องที่นี่แรกๆ ตกใจกันทุกคน ไม่เคยเสียเงินเป็นแสนเพียงแค่ซื้อกาแฟแก้วเดียวแต่หลังๆ ก็เริ่มชิน แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดไปเวียดนามไม่ต้องใช้เงินด่องใช้เงินไทยนี่ละดีที่สุด พ่อค้าแม่ค้าเวียดนามนิยมรับเงินไทยคิดง่ายดีด้วย
จบจากสถานที่แรกที่เล่าเรื่องของการสร้างชาติเวียดนามแล้ว ก็มาต่อกันที่การสร้างชาติในยุคใหม่ของโฮจิมินห์ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของเวียดนามที่พาประเทศชาติรอดพ้นจากการเหยียบย่ำของชาติต่างๆ สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาสติงห์ สถานที่ที่โฮจิมินห์อ่านคำประกาศอิสรภาพหลังนั่นเอง สุสานแห่งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสุสานของเลนินในกรุงมอสโก เพราะโฮจิมินห์ปกครองประเทศด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ แต่สภาพของสุสานนั้นเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ไม่เหมือนสุสานเลย โดยรอบประดับประดาไปด้วยต้นไม้ดอกไม้นานาพรรณจากทั่วประเทศหรือจะบอกว่าดอกไม้งามที่มีในท้องถิ่นเวียดนามทั้งหมดจะถูกนำมาปลูกไว้ที่นี่ก็ไม่ผิดนัก น่าเสียดายอย่างเดียวคือในวันที่เราไปนั้นมีงานพิเศษที่ทำให้เราไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมชมข้างในได้ แต่จากคำบอกเล่ากล่าวว่าศพของโฮจิมินห์นั้นเก็บในโลงแก้วสวยงามและมีทหารกองเกียรติยศยืนอารักขาผู้นำสูงสุดตลอดกาลของชาวเวียดนามไม่เว้นแม้แต่วินาทีเดียว
ถัดจากสุสานโฮจิมินห์ คือ ทางเข้าบ้านพักลุงโฮ ซึ่งบอกได้เลยว่าต้องต่อคิวกันยาวเหยียดนานครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้เข้าชม เพราะมีผู้คนมากมายที่อยากจะชมสถานที่ทำงานของบุคคลผู้นี้ แต่เมื่อเข้าไปถึงเราก็พบกับความประหลาดใจเล็กน้อย เพราะบ้านพักลุงโฮนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในอัครสถานใหญ่โต เป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ยกใต้ถุนหลังเล็กๆ ซึ่งใต้ถุนบ้านนี้เป็นสถานที่วางแผนการสู้รบกับอเมริกาจนต้องถอยกลับบ้านไม่คิดกลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย ไกด์ท้องถิ่นบอกกับเราว่าสถานที่แห่งนี้ถูกจัดวางทุกอย่างเหมือนในวันที่โฮจิมินห์เสียชีวิต มีเพียงการทำความสะอาดปัดกวาดและเสื้อผ้าที่ไม่ได้เก็บเอาไว้เท่านั้น
เมื่อออกจากเส้นทางนำเที่ยวบ้านพักลุงโฮ ก็ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่วิหารเสาเดียว วิหารนี้ว่ากันว่าเป็นวิหารเก่าแก่ของเวียดนามอีกแห่งหนึ่ง เอกลักษณ์ก็คือการตั้งอยู่กลางน้ำด้วยศาลาเก๋งจีนแบบโบราณ ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์นัก ปกติแล้วศาลากลางน้ำจะสร้างขึ้นเพื่อป้องกันปลวกแมลง แทะทำลายไม้และเอกสาร แต่วิหารนี้น่าจะสร้างขึ้นเพื่อความสวยงามและศรัทธาอันแรงกล้ามากกว่า
ปิดท้ายที่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ซึ่งจัดแสดงความเป็นมาของชาวเวียดนามทั้งหมด ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ มาที่นี่ที่เดียวเราจะได้รู้ความเป็นมาชนชาติเวียดนามครบทุกด้าน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพวกเขาผ่านการต่อสู้มาอย่างมากมายเพื่อจะได้รับเอกราชและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนั่นเอง


