posttoday

Patagonia …Amazing creations of Nature

03 กันยายน 2559

สัปดาห์นี้ทีมงานโลก 360 องศา จะพาคุณผู้อ่านข้ามน้ำข้ามทะเลไปกันที่อีกซีกโลกหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเดินทาง

โดย...ทีมงานโลก 360 องศา [email protected]

สัปดาห์นี้ทีมงานโลก 360 องศา จะพาคุณผู้อ่านข้ามน้ำข้ามทะเลไปกันที่อีกซีกโลกหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาเดินทางเกือบ 30 ชั่วโมงเลยทีเดียว เรามาอยู่กันที่ “ประเทศอาร์เจนตินา” ซึ่งนอกจากที่นี่จะเป็นบ้านเกิดของนักเตะลูกหนังชื่อดังอย่าง มาราโดนา (Maradona) เมสซี  (Messi) และเป็นบ้านเกิดของการเต้นรำที่มีเอกลักษณ์อย่าง แทงโก้  (Tango)  แล้ว อาร์เจนตินายังเป็นแดนสวรรค์ทางธรรมชาติ  เพราะด้วยภูมิอากาศที่มีความหลากหลาย  ตั้งแต่กึ่งเขตร้อน  (Sub Tropical) ทางตอนเหนือ ไปจนถึงอบอุ่นชื้น (Sub Polar) ทางตอนใต้ จึงทำให้ประเทศนี้มีทั้งป่า ภูเขา  ทะเล ทะเลทราย รวมไปถึงธารน้ำแข็ง ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เดินทางมาสัมผัสมากถึงปีละเกือบ 1 ล้านคนเลยทีเดียว (ข้อมูลจาก Buenosairesherald)

ประเทศอาร์เจนตินา เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทวีปอเมริกาใต้   โดยมีพื้นที่ประมาณ 2,780,000 ตารางกิโลเมตร พรมแดนทางด้านตะวันตกติดกับประเทศชิลี ด้านเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือติดกับประเทศปารากวัย โบลิเวีย และบราซิล และด้านตะวันออกติดกับประเทศอุรุกวัย และมหาสมุทรแอตแลนติก แบ่งออกเป็น 23 จังหวัด กับ 7 ภูมิภาค

ซึ่งภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า ภูมิภาคพาตาโกเนีย (Patagonia) อยู่ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ โดยกินพื้นที่ 1 ใน 3 ของประเทศอาร์เจนตินา และบางส่วนของประเทศชิลี ความโดดเด่นของภูมิภาคนี้ก็คือ มีความหลากหลายของทางภูมิประเทศ  ภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพรวมอยู่ด้วยกัน โดยทริปนี้เราขอเริ่มต้นการเดินทางกันที่เมืองเกือบใต้สุดของพาตาโกเนียอย่าง เอลคาราฟาเต (El Carafate)

Patagonia …Amazing creations of Nature

 

 

 

 

เอลคาราฟาเต ตั้งอยู่ในจังหวัดซานตาครูซ (Santa Cruz) เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรประมาณ 2 หมื่นคน แต่เพราะมีอากาศที่เย็นเกือบตลอดทั้งปี ด้วยอุณหภูมิติดลบ 2-11 องศาเซลเซียส ทำให้เมืองนี้มีทัศนียภาพที่ปกคุลมไปด้วยน้ำแข็งและความเย็น ก็เลยเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดัง ซึ่งเป็นเสมือนสัญลักษณ์ความงดงามทางธรรมชาติของพาตาโกเนีย นั่นก็คือ ธารน้ำแข็งเปอร์ริโต โมเรโน (Glaciar Perito Moreno)

ธารน้ำแข็งเปอร์ริโต โมเรโน  เกิดจากการทับถมของหิมะจำนวนหลายพันปี ซึ่งไหลลงมารวมกันจนเป็นธารน้ำแข็งที่ขึ้นชื่อว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โดยตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ลอส กลาเซียเรียส (Los Glaciares) อุทยานแห่งนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอาร์เจนตินา โดยพื้นที่กว่าร้อยละ 30 ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ทำให้ภายในอุทยานประกอบไปด้วยภูเขาน้ำเเข็งที่สูงเสียดฟ้า และทะเลสาบน้ำแข็งจำนวนมาก มากไปกว่านั้น ความสวยงามทางธรรมชาติของที่นี่ ก็ทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1981

ก่อนจะเข้ามาชมความงามของธารน้ำแข็งเปอร์ริโต โมเรโน ชาวต่างชาติอย่างเราๆ ก็ต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ 330 เปโซ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 760 บาทเสียก่อน  เมื่อเข้ามาแล้วใครจะเลือกนั่งรถ หรือว่านั่งเรือเข้าชมธารน้ำแข็งก็ทำได้ตามอัธยาศัย แต่เราก็ขอแนะนำว่าหากอยากใกล้ชิดกับเปอร์ริโต โมเรโน ในระยะใกล้ๆ ก็ควรจะเลือกนั่งเรือ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายคนละ 350 เปโซหรือประมาณ 800 บาท สำหรับการนั่งชมในเวลา 1 ชั่วโมง

Patagonia …Amazing creations of Nature

 

ปัจจุบันธารน้ำแข็งแห่งนี้มีความยาวกว่า 30 กิโลเมตร ความกว้าง 5 เมตร สูงจากระดับน้ำ 60 เมตร และลึกลงไปอีกมากกว่า 100 เมตรทีเดียว โดยรวมแล้วก็กินพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 250 ตารางกิโลเมตร ซึ่งขนาดของมันก็ใหญ่กว่ากรุงบัวโนสไอเรส (Buenos Aires) เมืองหลวงของประเทศนี้เสียอีก ระหว่างชมความสวยงามของธารน้ำแข็งของที่นี่ ก็อาจจะได้ยินเสียงโครมดังๆ ของก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่แตกลงน้ำ ซึ่งบางคนก็สันนิษฐานว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อน จึงทำให้ธารน้ำแข็งพังทลายลง แต่สำหรับไกด์ที่นี่เขาบอกกับเราว่า เป็นปรากฏการณ์สร้างสมดุลทางธรรมชาติ ที่กระแสน้ำจากด้านล่างจะกัดเซาะน้ำแข็งเป็นโพรงให้พังลงมา กลายเป็นน้ำจืดสู่ทะเลสาบอาร์เจนติโน (Argentino Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของอาร์เจนตินา ซึ่งก็จะกลายเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวเมืองเอลคาราฟาเตนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความโอ่อ่าและความสวยงามของธารน้ำแข็งสีขาว ที่แซมกับสีฟ้าของทะเลสาบแห่งนี้ ทีมงานขอรับรองว่าหากใครมาเยือนที่นี่ จะรู้สึกประทับใจอย่างไม่รู้ลืมเลยทีเดียว

นอกจากการเข้ามาชมความสวยงามของธารน้ำแข็งต่างๆ แล้ว ที่อุทยานแห่งชาติ ลอส กลาเซียเรียสนี้ ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ทำ นั่นคือ การปีนเขาและเดินป่าที่ภูเขาฟิทซ์รอย (Monte Fitz Roy) และภูเขาเซอโร ตอร์เร (Cerro Torre) ซึ่งเป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงสำหรับนักปีนเขาทั่วโลกก็ว่าได้

จากเมืองเอลคาราฟาเต ทางตอนใต้ เรากลับขึ้นมาทางตอนเหนือของภูมิภาคพาตาโกเนีย โดยมากันที่คาบสมุทรวาลเดส  (Peninsula Valdes) ในเมืองพอร์ตโต มาดรีน (Peurto Madryn) เมืองท่าชายฝั่งของจังหวัดชูบุท (Chubut) 

Patagonia …Amazing creations of Nature

 

 

คาบสมุทรแห่งนี้ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) มีพื้นที่ 3,625 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่ราบ ชายหาด อ่าว และหน้าผาหลายแห่ง อีกทั้งยังอุดมสมบูรณ์ จึงเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลที่หายากจากขั้วโลกใต้นานาชนิด  ไม่ว่าจะเป็นแมวน้ำช้าง  สิงโตทะเล เพนกวิน หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่อย่าง “วาฬ” จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า คาบสมุทรวาลเดสจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1999 จากองค์การยูเนสโก

กิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของการมาเยือนที่นี่ ก็คงหนีไม่พ้นการนั่งเรือชมฝูงวาฬเซาเทิร์นไรท์ (Southern Right Whale) ในตอนเช้า เนื่องจากเป็นช่วงที่น้ำนิ่งและลึกพอที่วาฬเหล่านี้จะมาว่ายน้ำเล่น อีกทั้งนักท่องเที่ยวเองก็สามารถนั่งเรือชมวาฬได้ในระยะใกล้ๆ อีกด้วย

วาฬเซาเทิร์นไรท์ เป็นวาฬที่มีเอกลักษณ์ตรงที่บนตัวของมันจะมีก้อนเพรียงสีขาวอมน้ำตาลเกาะอยู่บนผิวหนังหลายก้อนอย่างเห็นได้ชัด มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 18 เมตร และมีน้ำหนักมากกว่า 100 ตัน หรือหนักมากกว่ารถกระบะเกือบ 10 คัน โดยปกติแล้ววาฬเซาเทิร์นไรท์ มักจะอพยพหนีความหนาวเย็นจากทวีปแอนตาร์กติกาทางขั้วโลกใต้ ขึ้นมาที่คาบสมุทรวาลเดส ในระหว่างเดือน พ.ค.-ธ.ค.ของทุกปี และเนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่านี้เอง จึงทำให้ในแต่ละปีจะมีวาฬเซาเทิร์นไรท์อพยพมาที่นี่ ปีละประมาณ 4,000 ตัว เพื่อคลอดลูกและอนุบาลวาฬน้อยจนแข็งแรงก่อนจะกลับไปยังขั้วโลกใต้อีกครั้ง

Patagonia …Amazing creations of Nature Southern Right Whales วาฬที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว

 

ถึงตรงนี้คุณผู้อ่านคงสงสัยใช่ไหมว่า การล่องเรือชมวาฬแบบนี้จะปลอดภัยหรือเปล่า ทางทีมงานก็ขอตอบว่า ปลอดภัยไร้กังวล ก็เพราะเจ้าวาฬสายพันธุ์นี้ไม่ใช่สายพันธุ์ที่ดุร้าย และเนื่องจากพวกมันไม่มีฟันสำหรับเคี้ยวอาหาร ดังนั้นอาหารของพวกมันจึงเป็นพวกกุ้งตัวเล็กๆ และเพรียง อีกทั้งพวกมันยังเป็นมิตรกับคน โดยระหว่างที่เราล่องเรือไป ก็มักจะเห็นเจ้าวาฬเหล่านี้โผล่ขึ้นมาทักทายอยู่บ่อยๆ ด้วย

มากไปกว่านั้น นักท่องเที่ยวยังสามารถมาชมสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่คาบสมุทรวาลเดส (Peninsula Valdes) แห่งนี้ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นนกเพนกวินแมกเจลเลน (Magellan) ที่พบเฉพาะในทวีปอเมริกาใต้ ก็สามารถมาชมได้ในช่วงเดือน ก.ย.-มี.ค. หรือว่าจะมาชมสิงโตทะเล โลมา และแมวน้ำช้าง ก็สามารถเดินทางมาชมได้ตลอดทั้งปี

สำหรับใครที่สนใจเดินทางมาอาร์เจนตินา ก็ต้องบอกว่ายังไม่มีสายการบินใดที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปถึงอาร์เจนตินา โดยส่วนใหญ่นั้นจะต้องขึ้นเครื่องบินไปลงที่กรุงริโอเดอจาเนโรของประเทศบราซิลก่อน แล้วค่อยต่อเครื่องมายังกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของประเทศอาร์เจนตินา  แต่ถ้าใครยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปประเทศนี้ดีหรือไม่  ให้ติดตามรายการโลก 360 องศา กันในสัปดาห์หน้า เวลา 21.20 น. ทาง ททบ.5  เพราะถ้าหากคุณยังพอมีสตางค์ มีโอกาสและมีแรงไหว คุณอาจจะต้องเปลี่ยนใจไปกับเราแน่นอน