posttoday

จับกระแสจีน ‘เที่ยว ช็อป แชร์’ เม็ดเงินก้อนโตตลาดท่องเที่ยว

17 มิถุนายน 2559

ปัจจุบันจีนเป็นชาติที่ใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก แซงหน้านักท่องเที่ยวชาวอเมริกันกับเยอรมันที่เคยรั้งอันดับต้นๆ ไปแล้ว

โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล

ปัจจุบันจีนเป็นชาติที่ใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก แซงหน้านักท่องเที่ยวชาวอเมริกันกับเยอรมันที่เคยรั้งอันดับต้นๆ ไปแล้ว หากไม่รวมค่าเดินทางระหว่างประเทศ จะพบว่าค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนจะมาจากค่าช็อปปิ้งและค่าที่พักที่มีสัดส่วนรวมกันถึง 80% จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะหาช่องทางในการนำเสนอสินค้าสู่ตลาดจีน

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ชาวจีนมีแนวโน้มเดินทางไปทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 25-35 ปี และนิยมท่องเที่ยวด้วยตัวเองแบบไม่พึ่งบริษัทนำเที่ยวสูงถึง 70%

นอกจากนี้ ชาวจีนยังชอบพักโรงแรมระดับ 3-4 ดาว และตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางโดยพิจารณาจากความปลอดภัย ความน่าสนใจของสถานที่ท่องเที่ยว ความคุ้มค่าราคา รวมไปถึงความสะดวกในการเดินทาง ซึ่งระยะเวลาในการท่องเที่ยวจะเฉลี่ยอยู่ที่ทริปละ 6-8 วัน

ที่สำคัญกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวชาวจีน คือ “เที่ยว ช็อป ชิม และแชร์” ซึ่งมีทั้งช็อปปิ้ง เยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ เช่น ทะเลและโบราณสถาน รวมไปถึงชิมอาหารท้องถิ่นและกิจกรรมบันเทิงต่างๆ เช่น ชมการแสดงและเที่ยวสวนสนุก

ทั้งหมดนี้ ชาวจีนจะใช้โลกออนไลน์แบ่งปันประสบการณ์หลังการท่องเที่ยว ในลักษณะของ “รู้แล้วบอกต่อ” โดยจะนำภาพและเรื่องราวต่างๆ ในการเดินทาง เช่น ที่พัก ร้านอาหาร และค่าใช้จ่ายมาแชร์ลงโซเชียลมีเดีย ข้อมูลเหล่านี้จะมีอิทธิพลต่อนักท่องเที่ยวชาวจีนรายอื่นๆ อย่างมาก เพราะชาวจีนส่วนใหญ่ยังเชื่อถือข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

สำหรับเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ชาวจีนนิยมอ่าน ได้แก่ Baidu Sina Weibo QQ Kongjian daodao.com รวมไปถึงเว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินและที่พัก เช่น Ctrip และ Tuniu

“และยิ่งหากผู้แชร์ข้อมูลเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงก็จะยิ่งทำให้เป็นกระแสนิยม บางครั้งอาจทำให้เมืองเล็กๆ สถานที่ใหม่ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวจีนในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ เรียกว่าเป็นการเที่ยวแบบ ‘ตามกระแส’ ใครไปไหน ฉันไปด้วย ดังนั้นโซเชียลมีเดียจึงนับว่าเป็นอีกช่องทางประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่ทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ควรมองข้าม” ศูนย์วิจัยฯ ให้ความเห็น

ทั้งนี้ จากสถิติของกรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศจีน ที่ระบุว่า ในปี 2557 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า 100 ล้านคนนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายได้ของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนเปลี่ยนไป เมื่อมีรายได้สูงขึ้น การจับจ่ายใช้สอยย่อมมากขึ้นตามไปด้วย จากเที่ยวแค่ในประเทศก็ขยายจุดหมายปลายทางสู่ต่างแดน นอกจากนี้การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ในการยื่นขอวีซ่าของคนสัญชาติจีนของหลายประเทศเพื่อเป็นการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศก็ช่วยส่งเสริมให้การเดินทางไปต่างประเทศของคนจีนง่ายขึ้น

ศูนย์วิจัยฯ ให้ข้อมูลอีกว่า หากพิจารณาสัดส่วนการใช้จ่ายที่ไม่รวมค่าเดินทางระหว่างประเทศจะพบว่า ชาวจีนเสียเงินไปกับการช็อปปิ้งมากถึง 46% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด รองลงมาคือ ค่าที่พัก ค่าอาหารและเครื่องดื่ม โดยชาวจีนส่วนใหญ่นิยมซื้อสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น เช่น อาหาร ขนม ของที่ระลึก เสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องประดับ และสินค้าหัตถกรรม กว่าครึ่งหนึ่งจะถูกชำระผ่านบัตรเครดิตในร้านค้าปลอดภาษี ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าแฟรนไชส์

“นี่จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะสร้างแหล่งช็อปปิ้งให้หลากหลายขึ้น และผลิตสินค้าเพื่อเป็นตัวเลือกให้แก่นักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) ของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) หากผู้ประกอบการประชาสัมพันธ์สินค้าให้เป็นที่รู้จักและหาช่องทางจัดจำหน่ายที่นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ง่าย ก็จะสามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และถ้าหากนักท่องเที่ยวติดใจในสินค้าก็จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการส่งออกผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปขายที่จีนได้อีกด้วย” ศูนย์วิจัยฯ ให้ข้อสรุปถึงโอกาสในการเจาะเข้าจีนผ่านนักท่องเที่ยว

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มเปิดกว้างให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันชาวจีนเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนัก ที่มีกำลังและพร้อมที่จะซื้อสินค้าสูง

หากมองโอกาสทางธุรกิจให้รอบด้านก็จะเป็นอีกช่องทางในการส่งออกสินค้าไทย