posttoday

อิงกฤต วิทซานี่ เดินบนทางที่เลือกเอง

21 พฤษภาคม 2559

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางไปสวีเดน “คนเดียว” ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นด้วย “ตัวเอง” เป็นเวลา7 ปี

โดย...รอนแรม ภาพ... อิงกฤต วิทซานี่

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินทางไปสวีเดน “คนเดียว” ใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นด้วย “ตัวเอง” เป็นเวลา7 ปี ซึ่งนานพอให้ อิงกฤต วิทซานี่ นักร้องลูกครึ่งไทย-ออสเตรีย ได้เดฟินทางเรียนรู้ชีวิตเก็บเกี่ยวความคิดของคนรอบข้าง เพื่อหลอมรวมเป็นทัศนคติของตน เธอจึงเติบโตท่ามกลางคนอื่น มีการเดินทางเป็นครู และมีโลกเป็นห้องเรียน

คนไทยรู้จักอิงกฤตครั้งแรกผ่านรายการ เดอะ วอยซ์ ซีซั่น 3 จากนั้นเธอกลับมาอีกครั้งในฐานะพิธีกรรายการท่องเที่ยว ลอง Stay ช่อง 3SD (28) ซึ่งเป็นอีกบทบาทที่เธอรักเพราะได้ “เที่ยว”

อิงกฤต วิทซานี่ เดินบนทางที่เลือกเอง

 

ตามหาความหมายชีวิต

อิงกฤตเกิดในประเทศไทยท่ามกลางครอบครัวใหญ่ คุณแม่เป็นคนไทย คุณพ่อเป็นคนออสเตรียสัญชาติสวีเดน ก่อนที่พ่อจะจากไป ท่านอยากให้ลูกสาวไปสวีเดนเพื่อออกจากกรอบเดิมๆ และหาความหมายของชีวิตซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด

“บ้านอิงที่เมืองไทยเป็นครอบครัวใหญ่มาก มีกฎต่างๆ นานา มีการตักเตือนแบบคนไทย” เธอกล่าว “แต่พ่ออิงบอกว่าให้ไปสวีเดน เพราะพ่อกลัวว่าอิงจะไม่โต กลัวว่าอิงจะถูกปิดกั้น พออิงอายุสิบห้าทำบัตรประชาชนเรียบร้อยก็บินไปสวีเดนเลยคนเดียว”

อิงกฤต วิทซานี่ เดินบนทางที่เลือกเอง

 

เธอยังเล่าด้วยว่า การใช้ชีวิตอยู่ที่สวีเดนแตกต่างจากเมืองไทยมาก โดยเฉพาะเรื่องทัศนคติ “อิงต้องหาเวลาเป็นตัวเองเมื่ออยู่ที่ประเทศไทย แต่ที่สวีเดน ทุกอย่างเป็นอิงได้หมดเลย เราใช้ชีวิตในสังคมนั้นได้อย่างสบายใจ ตรงไปตรงมา ทุกคนคุยเรื่องที่มีประโยชน์ วิธีการดำเนินชีวิตมันต่างกัน”

7 ปีที่สวีเดนหล่อหลอมให้เธอมีชุดความคิดแบบผู้ใหญ่ ด้วยความที่วัยรุ่นสวีเดนเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่อายุ 15 ปี และย้ายออกจากบ้านเพื่อไปใช้ชีวิตของตัวเองตอนอายุ 21 ปี จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเธอถึงโตกว่าอายุ (ตอนนี้อายุ 23 ปี) ทว่าเมื่อกลับมาเมืองไทยก็มีข้อดีหลายอย่าง หนึ่ง ได้กลับมาดูแลแม่ สอง ได้ประกวดเดอะ วอยซ์ สาม ได้เป็นนักร้องอย่างที่รัก และสี่ ได้ทำงานท่องเที่ยวตอบโจทย์นิสัยคนชอบเดินทางอย่างเธอ

อิงกฤต วิทซานี่ เดินบนทางที่เลือกเอง

 

ตามหาเรื่องราวใหม่

หลังจากกลับจากสวีเดนได้ไม่นานอิงกฤตกำเงิน 3,000 บาท กับกระเป๋า 1 ใบ ขึ้นรถไฟชั้นสามไปเที่ยวคนเดียว ครั้งนั้นเธอลงใต้ไปเป็นชาวเลบนเกาะมุก จ.ตรัง เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่กับชาวประมง “อิงไปอยู่บ้านกลางทะเล เขาสอนอิงขับเรือ สอนหาหอยมุก กินหอยทอดซึ่งก่อนหน้านี้เคยไปมาแล้วกับเพื่อนฝรั่ง ตอนอายุสิบเจ็ด ไปแบบไม่มีเงินเลย แต่โชคดีที่อิงพูดใต้ได้ และเจอชาวบ้านใจดีให้นอนที่บ้านและทำกับข้าวให้กินทุกมื้อ” เธอเล่า

นอกจากนี้ ในฐานะที่เคยจากไปและกลับมาประเทศไทยโดยมีระยะห่างให้เห็นการเปลี่ยนแปลง เธอเห็นว่าการท่องเที่ยวของไทยมีการพัฒนา “การอยู่บ้านเรา เราจะเห็นปัญหาเยอะ ซึ่งความจริงปัญหามันก็เยอะนั่นแหละ แต่ในภาพรวม พออิงออกไปและกลับมา อิงรู้สึกว่าการท่องเที่ยวมันปลอดภัยขึ้น อิงเที่ยวตั้งแต่เด็ก แบ็กแพ็กตั้งแต่เด็ก ขับรถเที่ยวกับพ่อตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นยังรู้สึกถึงความอันตราย แต่เดี๋ยวนี้ไปไหนจะรู้สึกปลอดภัยขึ้น”

อิงกฤต วิทซานี่ เดินบนทางที่เลือกเอง

 

แต่ถึงอย่างไร ประเทศไทยทำให้เธอกังวลเรื่องแหล่งท่องเที่ยวที่จะเปลี่ยนไปเพื่อนักท่องเที่ยวมากเกินไป “ส่วนตัวอิงไม่ชอบแหล่งท่องเที่ยวแบบ Mass Tourism (แหล่งท่องเที่ยวที่ดึงคนจำนวนมาก)” เธอกล่าวชัดเจน “อิงว่าไม่เวิร์กสำหรับบ้านเรา เพราะพื้นที่ประเทศไทยไม่พอที่จะรับนักท่องเที่ยวมากมาย สถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งรองรับทัวร์ ทำให้บรรยากาศของสถานที่แห่งนั้นหายไป”

อิงกฤตยกตัวอย่าง เกาะหลีเป๊ะ ที่เคยไปตั้งแต่เด็กแต่เปลี่ยนไปแล้วในวันนี้ “ครั้งแรกที่ไป อิงเดินจากชายหาดไปดำน้ำเห็นปลาหมอทะเลตัวใหญ่มาก เห็นปลาทุกสีทุกเฉด เป็นโลกที่อลังการมาก พอครั้งที่สองอิงกลับไป ปรากฏว่าแนวปะการังไม่สวยงามเหมือนเดิม และครั้งที่สาม ตกใจมาก เพราะมีทัวร์ไปเกาะหลีเป๊ะ ถนนบนเกาะเป็นถนนเล็กๆ ไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ แต่เรากลับพยายามทำให้หลีเป๊ะเปลี่ยนไปเพื่อนักท่องเที่ยว หลีเป๊ะจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

อิงกฤต วิทซานี่ เดินบนทางที่เลือกเอง

 

ทัศนคติเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเธอให้ความสำคัญกับการเดินทาง เธอเห็นว่ามันสำคัญกับทัศนคติ เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ชีวิต “ทุกอย่างที่อิงเรียนไม่ได้เรียนมาจากห้องเรียน อิงไม่เคยเรียนได้ที่หนึ่ง แต่อิงเรียนรู้จากการที่ต้องย้ายไปตามที่ต่างๆ อิงคุยกับคนต่างๆ ที่ได้เจอ เห็นความคิดที่มันไม่เหมือนกัน แม้ว่าเรื่องที่ได้ยินเราเคยรู้มาก่อนแล้ว แต่ทัศนคติของผู้คนต่างหากที่เราไม่เคยรู้”

และที่น่าสนใจคือ เธอมองว่าคนไทยมักอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นสังคม ดังนั้นการเที่ยวคนเดียวจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อหาโอกาสให้ตัวเองออกไปหาเพื่อนใหม่ คนแบบใหม่ ความคิดใหม่ๆ ให้โลกที่อยู่นั้นกว้างขึ้น

โลกของอิงกฤต

ถ้ามีโลกของตัวเองหนึ่งใบ เธออยากให้โลกใบนั้น “สวย” หมายถึงโลกที่ทุกคนนึกถึงใจเขาใจเรา โลกที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย โลกที่มนุษย์ไม่คิดว่าคนอื่นโง่และพร้อมจะสอนความรู้ให้แก่ผู้อื่น โลกที่ทุกอย่างมีการแบ่งปัน และโลกที่ไม่มีเงินในการซื้อขาย แต่เป็นน้ำใจที่มีให้กัน

สำหรับในโลกแห่งความเป็นจริงตอนนี้อิงกฤตกำลังทำงานเพลงของตัวเองชื่อว่าเพลง “ลา” ที่จะปล่อยให้ฟังพร้อมมิวสิควิดีโอภายในปีนี้ และในโลกส่วนตัวติดตามเธอได้ทางอินสตาแกรม ingridwitzanyy และเฟซบุ๊ก Ingrid Witzany