posttoday

เมืองท่า ‘มะริด’ มีดีมากกว่าที่คิด

06 กุมภาพันธ์ 2559

เมืองมะริด มีชื่อทางการในภาษาเมียนมาว่า “Myeik” คือ 1 ใน 3 ของเมืองในภูมิภาคตะนาวศรี (Tanintharyi Division)

โดย...ทีมงานโลก 360 องศา [email protected]

เมืองมะริด มีชื่อทางการในภาษาเมียนมาว่า “Myeik” คือ 1 ใน 3 ของเมืองในภูมิภาคตะนาวศรี (Tanintharyi Division) ด้วยทำเลที่ตั้งของเมืองตั้งอยู่บนเกาะที่เกิดจากตะกอนของปากแม่น้ำตะนาวศรี ทำให้ในอดีตเมืองมะริด (Myeik Township) เป็น 1 ใน 2 ของเมืองท่าฝั่งอันดามันที่มีความสำคัญของอยุธยา

เมืองมะริด เป็นเมืองชายฝั่งขนาดใหญ่ มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ปัจจุบันเกิดการลงทุนจากกลุ่มนักธุรกิจมากขึ้น ส่งผลให้เมืองมะริดกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมทางประมงที่สำคัญของภูมิภาคไปโดยปริยาย

การเดินทางไปยังเมืองมะริดนั้น นอกจากทางเครื่องบินและรถยนต์แล้ว อีกหนึ่งทางเลือกที่คิดว่าน่าสนใจไม่น้อย คือ การล่องเรือไปตามแม่น้ำตะนาวศรี ซึ่งสามารถเดินทางจากท่าเรือเมืองตะนาวศรีไปยังเมืองมะริด หรือจะโดยสารไปเมืองทวายก็ได้เช่นเดียวกัน สภาพภายนอกของเรือโดยสารอาจจะดูไม่สะดวกสบายเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเทียบกับการเดินทางด้วยรถยนต์ บนถนนที่ยังขรุขระและเต็มไปด้วยฝุ่นละอองแล้วละก็ ลองเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งเรือกันบ้างก็ดีไม่น้อย

เมืองท่า ‘มะริด’ มีดีมากกว่าที่คิด หมากคือผลผลิตทางเกษตรที่สำคัญของเมืองท่ามะริด

 

นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของสองฝั่งแม่น้ำที่อุดมไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติแล้ว เรายังได้ซึมซับวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำ และผู้คนที่อาศัยอยู่บนดินแดนแห่งเมืองพุทธแห่งนี้ จากภาพของวัด เจดีย์ ตลอดสองฝั่งแม่น้ำที่เรือล่องผ่าน

เวลากว่า 4 ชั่วโมงที่ล่องไปตามแม่น้ำ จริงอยู่ที่ว่า การเดินทางด้วยวิธีนี้จะต้องใช้เวลามากขึ้น แต่ถ้าหากเราไม่ได้เร่งรีบอะไรมากนัก คงไม่เสียหายอะไร หากจะลองเปิดใจและเปิดโอกาสให้ตัวคุณเอง ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ซึมซับธรรมชาติไปพร้อมๆ กับผู้คนที่นี่ ความประทับใจที่คุณได้รับก็อาจจะทำให้ติดใจจนต้องกลับมาอีกครั้งก็ได้

เมื่อเรือเข้าเทียบท่า สิ่งแรกที่สัมผัสได้ของความเป็นเมืองท่าสำคัญ ก็คือการลำเลียงสินค้าลงเรือขนส่งขนาดมหึมา ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วท่าเรือแห่งนี้จะใช้ขนส่งสินค้าภายในประเทศเป็นหลัก และยังใช้แรงงานคนในการลำเลียงเป็นส่วนใหญ่

เมืองท่า ‘มะริด’ มีดีมากกว่าที่คิด สะพานเหล็กจวยกูทอดข้ามแม่น้ำตะนาวศรี

 

นอกจากบรรยากาศของท่าเรือมะริดที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารเรือ รวมถึงคนงานที่เดินกันขวักไขว่ตลอดเวลาแล้ว ใจกลางเมืองมะริดก็คึกคักไปด้วยผู้คนที่อยู่อาศัยกันอย่างหนาแน่น ถนนเส้นต่างๆ เต็มไปด้วยรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ที่สัญจรกันอย่างคับคั่ง สื่อสารกันด้วยเสียงแตรรถจนกลายเป็นเสียงที่ชินหูสำหรับผู้มาเยือนไปเสียแล้ว

หากอ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงคิดว่า ไหนล่ะความน่าสนใจของเมืองมะริด และอาจจะถอดใจไม่อยากออกเดินทางไปแล้วก็ได้ แต่เดี๋ยวก่อน มะริดยังมีอะไรซุกซ่อนอยู่อีกมาก ที่ทั้งคุณและเราเองอาจจะไม่เคยรู้และได้ยินมาก่อน

ปัจจุบันผู้คนที่นี่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไว้อย่างดีที่สุด ทั้งบ้านเรือน วิถีชีวิต วัฒนธรรม การสื่อสารสำเนียงภาษาที่ยังคงความเป็นชาวเมืองมะริดอยู่เช่นเดิม ทุกชีวิตที่นี่ยังคงดำเนินไปบนความเรียบง่าย ไม่แก่งแย่งแข่งขัน แต่กลับพัฒนาขึ้นในแง่ของเศรษฐกิจ การค้าขาย ที่ดูเหมือนว่าจะมีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของพวกเขาไม่น้อยเลย

เมืองท่า ‘มะริด’ มีดีมากกว่าที่คิด แรงงานคนยังเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญของอู่ต่อเรือ

 

อย่างที่เคยกล่าวไปในตอนต้นว่า เมืองมะริดถือว่าโดดเด่นในเรื่องของอุตสาหกรรมประมงเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากสินค้าทางทะเลที่ส่งกระจายออกไปตามเมืองต่างๆ ในประเทศ รวมถึงประเทศไทยอย่างกุ้งมังกรหรือกั้งแล้วนั้น ยังคงมีอีกหนึ่งธุรกิจสืบเนื่องกัน คือ อู่ต่อเรือขนาดใหญ่ ที่เกิดจากนักธุรกิจไทยร่วมมือกันกับนักธุรกิจชาวเมียนมา จนทำให้ธุรกิจนี้ขยายตัวเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางการต่อเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเมียนมา

ด้วยความที่มะริดเป็นเมืองท่าชายฝั่งที่มีความสำคัญมาหลายร้อยปี ผู้คนที่นี่จึงสั่งสมความรู้ในการต่อเรือและการทำทะเล ผู้คนที่นี่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญ เรียกได้ว่า ถ้าเจ้าของเรือหรือผู้ประกอบการอยากจะต่อเรือดีๆ ในราคาที่คุ้มค่าแล้วละก็ ก็ต้องมาที่นี่เท่านั้น

หากใครเคยมาเยือนเมืองมะริด คงพอจะทราบกันบ้างแล้วว่า ที่นี่นอกจากอู่ต่อเรือและอาหารทะเลที่เป็นสินค้าหลักที่สำคัญแล้ว ยังมีผลผลิตทางเกษตรกรรมที่สร้างรายได้ให้กับเมืองนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหมากที่แทบทุกบ้านต้องปลูก รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากเมืองใกล้เคียง ก็ถูกลำเลียงส่งเข้ามาแปรรูปที่เมืองมะริดนี้ด้วยเช่นกัน

เมืองท่า ‘มะริด’ มีดีมากกว่าที่คิด ความสวยงามของเจดีย์เตนดอจียามพลบค่ำ

 

นอกจากความรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ที่เมืองแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยจุดชมวิวสวยๆ มากมาย โดยเฉพาะสะพานเหล็กจวยกู ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเมียนมา มีความยาว 1 กิโลเมตร เชื่อมเส้นทางระหว่างเมืองมะริดไปสู่เมืองทวาย

ที่สะพานจวยกู ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ ในยามเย็น เพราะนอกจากจะได้เห็นบ้านเรือนของชาวประมงที่ปลูกแบบยกพื้นสูงแล้ว เราจะได้เห็นวิวสวยๆ ของปากแม่น้ำตะนาวศรีที่ไหลลงสู่ทะเลอันดามันอีกด้วย

ปัจจุบันเมืองมะริดนั้น ยังคงหลงเหลือหลักฐานจากยุครุ่งเรืองในสมัยที่สยามปกครองให้ผู้มาเยือนได้เห็นกันอยู่ไม่น้อย เช่น ชื่อของ “วัดเตเอกู” ก็ดูเหมือนว่าจะถูกเอ่ยถึงเป็นชื่อแรกๆ ในเส้นทางแนะนำการท่องเที่ยวของเมืองนี้ ด้วยลักษณะพิเศษอันโดดเด่นจากรูปปั้นพระบิณฑบาตกว่า 500 รูป เดินเรียงรายไปตามแนวเขา ซึ่งเรามักไม่ค่อยพบเห็นกันสักเท่าไหร่

และก่อนที่ตะวันจะลับขอบฟ้าที่เมืองมะริด ยังมีอีกสถานที่หนึ่งซึ่งผู้ไปเยือนไม่ควรพลาด คือ เจดีย์เตนดอจี (Thein DawGyi Pagoda) ที่ยามเย็นนั้นแสงของอาทิตย์จะส่องกระทบกับองค์เจดีย์สะท้อนเป็นสีเหลืองทองสวยงามมากๆ และนอกจากผู้คนจะนิยมเดินทางมาเพื่อไหว้พระขอพรกันแล้ว ที่นี่ยังสามารถมองเห็นแนวชายฝั่งของทะเลอันดามันได้อย่างชัดเจน และเป็นจุดที่เห็นพระอาทิตย์ตกชัดเจนและสวยงามมากอีกด้วย

เรื่องราวความน่าสนใจของเมืองมะริดยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เราจะนำมาเสนอกันในตอนต่อไป สามารถติดตามกันต่อได้ในโพสต์ทูเดย์สัปดาห์หน้า แต่สำหรับเรื่องราวที่บอกเล่ากันในครั้งนี้สามารถรับชมได้ผ่านรายการโลก 360 องศา ทางช่อง 5 วันเสาร์นี้ เวลา 21.20 น. โดยประมาณ