posttoday

ตะลุยราชสถาน ท่องภาคตะวันตกอินเดีย

30 สิงหาคม 2558

สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินตรง 4 ชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพฯ สู่เมืองมุมไบ หรือบอมเบย์ในอดีต

โดย...ปอย  ภาพ  สุนันท์ ล้อสมทรัพย์

เริ่มต้นที่มุมไบ

สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส บินตรง 4 ชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพฯ สู่เมืองมุมไบ หรือบอมเบย์ในอดีต ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย ความเป็นเมืองสำคัญชายฝั่งทะเล ทำให้บอมเบย์เป็นเมืองท่าสำคัญของอินเดียมาช้านาน 

เส้นทางท่องเที่ยวเริ่มจากมุมไบ ไปเมืองออรังกาบาดซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เพื่อไปเที่ยวถ้ำอชันตา วัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างเมื่อ พ.ศ. 350 แล้ววกกลับมาต่อรถที่มุมไบซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว เพื่อจะต่อรถได้สะดวกกว่า ไปเมืองสีขาวอุทัยปูร์ (Udaipur) เมืองสีฟ้าจ๊อดปูร์ (Jodhpur) เมืองสีชมพูไจปูร์ (Jaipur) หรือชัยปุระ แล้วกลับมามุมไบขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ

“ก่อนไปเพื่อนก็บอกว่าสิ่งแรกคือฝึกแบกเป้หน้า-หลัง น้ำหนักที่เราขนของไปใช้ พอแพ็กกระเป๋าเสร็จก็ลองแบกเป้วันละ 2-3 ชั่วโมง เดินไปมาอยู่ในบ้านว่าไหวไหม ก็ทำงานไปด้วยลองแบกน้ำหนักกระเป๋าเป้ไปด้วย แล้วก็โทรไปบอกเพื่อน เฮ้ย...ไหวนะ (หัวเราะ) เพื่อนช่างภาพเคยไปมาแล้ว 1 ครั้งค่ะ บอกต้องเดินทั้งวัน แล้วอากาศช่วงฤดูร้อนก็ราว 40 องศาอัพ

ตะลุยราชสถาน ท่องภาคตะวันตกอินเดีย

 

ราชสถานในอินเดียก็ไม่เคยอยู่ในจินตนาการหรือความสนใจของเราเลย รู้แต่ว่าศิลปะแบบอินเดียอลังการงานสร้าง ทริปนี้ก็ต้องทำการบ้านโดยการเสิร์ชกูเกิลสถานที่แต่ละแห่งที่จะไปมีจุดเด่นอะไรบ้าง

ช่วงที่ไปคือปลายเดือน เม.ย.ก็เช็กอุณหภูมิกันรัวๆ เอาน่า... 40 กว่าองศาเราพออยู่ได้ ไม่เท่าไรก็พอๆ กับกรุงเทพฯ (หัวเราะ) แต่พอเครื่องลงมุมไบ ผิดคาดค่ะไม่ร้อนมากเพราะเราไปถึงตี 1 กว่า (ว่าแล้วก็หัวเราะอีก) ทริปนี้เราไปกันสามคน เพื่อนๆ ก็บอกว่าเราลงเครื่องแล้วค่อยหารถไปที่พักไม่น่าจะยากเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ดิฉันค้าน เฮ้ย...ไม่ได้นะ ความที่เราเคยเที่ยวประเทศที่ฮิตๆ แล้วก็ไปกับทัวร์ดีๆ สะดวกสบายตลอดเพราะฉะนั้นจะลุยหนักๆ แบบนั้นไม่ไหวนะ ก็บอกเพื่อนว่าเราต้องจองรถล่วงหน้ากับโรงแรมเลยดีกว่า ไม่เดินหาเอาดาบหน้าเด็ดขาดแล้วนี่อินเดียนะ ลงเครื่องปุ๊บมีรถมารับไปโรงแรมปั๊บ สบายกว่าค่ะ ค่าโรงแรมและค่ารถมารับก็ราว 3,000 กว่าบาท คุ้มค่ะ

เช็กเอาต์แต่เช้า แล้วเช่ารถมุ่งสู่เมืองออรังกาบาด เพื่อไปเที่ยวถ้ำอชันตา (Ajanta) ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง เจอแล้วค่ะอากาศร้อนม-า-ก แล้วต้องเดินเข้าถ้ำโน้นมาถ้ำนี้ ร่างกายต้องพร้อมใจต้องสู้ค่ะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ไหวแน่ ก็เดินดูพระพุทธรูปโบราณในถ้ำแล้วความที่ไม่ใช่เส้นแสวงบุญที่คนไทยเราอินนะคะ ก็เลยเฉยๆ เดินชมถ้ำไปเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจคือสิ่งก่อสร้างโบราณสถานของอินเดีย เขาใหญ่จริง อลังการจริงๆ เน้นความใหญ่โตไว้ก่อน

ตะลุยราชสถาน ท่องภาคตะวันตกอินเดีย

 

ไปเที่ยวแต่ละแห่งจึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน เมืองอุทัยปูร์สวยที่สุดค่ะเป็นพระราชวังกลางน้ำ (ติดทะเลสาบพิโคล่า) สร้างขึ้นด้วยหินแกรนิตและหินอ่อนภายในประดับประดาด้วยกระจกและแก้วหลากสี ตอนนี้ดัดแปลงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ มีโรงแรม เป็นซิตี้พาเลซใหญ่โต เรื่องสิ่งก่อสร้างบิ๊กๆ นี่ต้องยกให้อินเดียเลยค่ะ”

เที่ยวอินเดียคือการผจญภัย

อันซีนของทริปนี้ จุดหมายปลายทางอยู่ที่บ่อน้ำอายุเกิน 1,000 ปี สร้างราว ค.ศ. 800-900 เป็นขั้นบันได-Stepwell ซึ่งใช้เป็นฉากในหนังเรื่อง The Fall และ Batman : The Dark Knight Rises ไม่ไกลจากเมืองชัยปุระ เป็นสถานที่น่าตื่นตาตื่นใจมากแห่งหนึ่ง ตัวบ่อมีความลึก 13 ชั้น ประกอบด้วยบันได 3,500 ขั้น ผนังสามด้านเป็นขั้นบันไดทั้งหมด ส่วนผนังอีกด้านเป็นอาคารที่อยู่อาศัยที่ไว้รับรองของมหาราชาเสด็จมาท่องเที่ยวอาบน้ำ พักผ่อน พร้อมมเหสีและข้าราชบริพาร

“บ่อน้ำนี้ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ค่ะ (Abhaneri) ดูไม่เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวเลยแม้แต่คนอินเดียก็ยังไม่รู้จัก เราก็เช่ารถไปกว่าจะหาเจอก็ต้องผ่านทุ่งผ่านไร่นาเล็กๆ ไม่น่าเป็นสถานที่เที่ยว บ่อนี้อยู่ในพื้นที่รัฐราชสถานค่อนข้างแห้งแล้ง เสิร์ชข้อมูลสร้างขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านมีน้ำใช้ ตัวบ่อชั้นล่างสุดเป็นน้ำสีเขียว ลึกประมาณ 20 เมตร อุณหภูมิชั้นล่างสุดเย็นกว่าชั้นผิวดินถึง 5-6 องศาเซลเซียส ได้เห็นสถานที่อลังการแสนมหัศจรรย์ อันซีนจริงๆ ค่ะ นักท่องเที่ยวมาที่นี่ต้องมีแพสชั่นจากหนังจึงจะมาเที่ยวกัน

ตะลุยราชสถาน ท่องภาคตะวันตกอินเดีย

 

ขากลับจากเมืองสีชมพูไจปูร์ หรือชัยปุระ เพื่อกลับมาขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ที่มุมไบ ความที่เป็นสาวขาลุยสุดๆ คุณช่างภาพก็ลากเพื่อนคุณหนูไฮโซขึ้นรถไฟชั้นสาม 21 ชั่วโมง (OMG!!!) ขนิษฐา บอกพร้อมเสียงหัวเราะว่านี่ไม่ใช่ที่สุด เพราะเมื่อถึงมุมไบ จุดหมายปลายทางทริปที่เพื่อนสาวช่างภาพขาลุยคือไปถ่ายรูปสลัมบอมเบย์!!!

“ไปเที่ยวสลัม (หัวเราะ) เพราะกระแสความดังของหนังเรื่อง สลัมด็อก มิลเลียนแนร์ ก็อยากไปเห็นฉากตลอดทั้งเรื่องถ่ายทำที่นี่ พอไปแล้วทุกคนผิดหวังที่ทุกๆ อย่างดูถูกสร้างภาพให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากค่ะ ไม่มียาเสพติด ไม่สกปรกมากแล้วถ้าเทียบกับบ้านเรา คลั่กกว่าอีกค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าถูกหลอกไปดูภาพดีๆ สวยๆ ไม่ดาร์กอย่างที่เราคิด แล้วเราก็คิดนะคะว่าเขาต้องซ่อนมุมมืดๆ ไว้ไม่ให้นักท่องเที่ยวเห็น คนไปเที่ยวเยอะนะคะหลังจากหนังเรื่องนี้ได้ออสการ์

ความประทับใจคือคนอินเดียค่ะ ยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งเด็กวัยรุ่นอยากพูดอยากคุยกับเรามากค่ะ เข้ามาขอโพสถ่ายรูปกับเราตลอดเวลา แล้วไปคราวนี้คุณเพื่อนช่างภาพก็มี Mission ในการกลับมาจ๊อดปูร์ ที่ตอนมาครั้งแรกก็ได้ถ่ายรูปให้กับงานเซเลเบรตรับขวัญเด็กเกิดใหม่ คือเขาเห็นมีกล้องก็ลากไปขอให้ถ่ายรูป พอกลับไปครั้งนี้ก็เลยเป็นมิชชั่นที่ได้อัดรูปกลับไปให้เขา ก็ไปตามหากันจนเจอ ถามคนขับรถรับจ้างก็เป็นเหมือนพรหมลิขิตที่เป็นญาติก็พาไปพบกันจนได้ แล้วก็เหมือนได้เจอญาติที่อยู่ในอินเดีย (หัวเราะ) คือน้องเบบี๋ที่ถ่ายรูปคราวนั้นตอนนี้ก็โตไปโรงเรียนแล้ว ทุกคนก็ตื่นเต้นดีใจมากเข้ามารุมล้อมเรา แล้วเราก็ไม่ต้องเสียค่ารถในจ๊อดปูร์เลยค่ะ กลายเป็นว่าทุกคนที่นั่นรู้จักเรา บริการเราเต็มที่ 

ตะลุยราชสถาน ท่องภาคตะวันตกอินเดีย

 

สิ่งที่แตกต่างจากไทยคือสีสันส่าหรี คน อาหาร แปลกหูแปลกตา มันเหมือนกับการเปิดโลกใบใหม่ให้เราแล้วเปรียบเหมือนกับเรากลับไปเป็นเด็ก ได้ไปเข้าค่ายเดินทางไกลเจอเรื่องผจญภัยได้เรื่อยๆ นะคะ ทริปท่องเที่ยวครั้งนี้ปลุกความเป็นเด็ก ปลุกความกระตือรือร้นของเรา จะมาเฉื่อยๆ ชิลๆ เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้เลย ต้องตื่นตัวรับสถานการณ์ใหม่ๆ อะเลิร์ตตลอดเวลาอย่างตอนจะไปเที่ยวถ้ำอชันตา เราเช่ารถให้เขามารับ แล้วกว่าจะสื่อสารกันได้ว่าคันไหนมารับเราใช่หรือเปล่า เพราะเขาก็แย่งลูกค้ากัน กว่าจะรู้ว่าคันไหนที่มารับเรา ก็ตื่นเต้นต้องระวังตัวตลอดเวลา

ความเหนื่อยความร้อน ถามว่าเข็ดไหม เข็ดค่ะ ตอนเดินเที่ยวเมืองสีชมพูไจปูร์นี่เข้าใจคำว่า ร้อนขาขาดเลยค่ะว่าเป็นแบบนี้ คือใส่เดรสสั้นส่วนที่โดนแดดนี่ขาไหม้แทบขาด (หัวเราะ) แต่ถ้าถามว่าถ้าเพื่อนชวนไปอินเดียอีกจะไปไหม? ไปค่ะ! (ว่าแล้วก็หัวเราะร่วน) ทริปหน้าตั้งใจว่าจะไปเที่ยวทางภาคเหนือสุด เมืองเลห์-ลาดักห์ (Leh-Ladakh) แล้วในช่วงฤดูหนาวราวเดือน ม.ค.-ปลายเดือน ก.พ. ก็ได้เห็นหิมะตกด้วย

ทริปนี้คือการเปิดโลกใหม่ให้เรา แล้วก็ใช้เงินน้อยมากตั๋วเครื่องบินทั้งไปและกลับแลกพอยต์ ก็เสียค่าภาษีสนามบินราว 7,000 กว่าบาท บวกกับค่าใช้จ่ายค่าอาหารค่ารถใช้ไปราว 1.5 หมื่นบาทเท่านั้นเองค่ะ สำหรับ 11 วัน ส่วนช็อปปิ้งเตรียมไว้ 1 หมื่นรูปี (5,000 บาท) ยังใช้ไม่หมดเลยค่ะ ตั้งใจว่าจะซื้อส่าหรี ก็ไม่มีไซส์สำหรับหุ่นมินิ ก็เลยไม่ได้ซื้อกลับมา สรุปคือใช้เงินน้อย แต่ประสบการณ์ได้มากที่สุดตั้งแต่ท่องเที่ยวมาเลยค่ะ” ขนิษฐา ทิ้งท้ายพร้อมรอยยิ้ม