posttoday

ชีวิตเดินช้า แต่การพัฒนา ไม่หยุดนิ่ง

29 สิงหาคม 2558

“นิวซีแลนด์” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ทุกคนต่างอยากจะมาใช้ชีวิตแบบ Slow life ด้วยบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา

โดย...ทีมงานโลก 360 องศา [email protected]

“นิวซีแลนด์” เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ทุกคนต่างอยากจะมาใช้ชีวิตแบบ Slow life ด้วยบรรยากาศที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ปุยเมฆขาวและอบอวลไปด้วยอากาศอันบริสุทธิ์ จึงทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งปลายทางในฝันของคนทั่วโลกที่อยากจะมาเยือนดินแดนแห่งนี้สักครั้งในชีวิต

ก่อนจะไปทำความรู้จักกับประเทศนี้ ขออนุญาตพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับความหมายของคำว่า Slow life กันก่อน แนวคิดเรื่อง Slow life นั้นถูกจุดประกายโดย คาร์โล เพตรินี นักหนังสือพิมพ์ชาวอิตาเลียน ที่ต่อต้านวัฒนธรรมการรับประทานอาหารจานด่วน และการใช้ชีวิตที่เร่งรีบของวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งเขาก่อตั้งสมาคมภายใต้ชื่อ Slow food  โดยมีตราสัญลักษณ์เป็นรูปหอยทาก ที่เป็นเครื่องหมายของการใช้ชีวิตช้าๆ ไม่เร่งรีบ เพื่อสนับสนุนให้คนหันมารับประทานอาหารให้ช้าลง และส่งเสริมการปรุงอาหารแบบดั้งเดิม ภายใต้แนวคิดที่ว่า อาหารที่คู่ควรกับมนุษย์ควรเป็นอาหารที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อผู้บริโภค 

ด้วยแรงบันดาลใจจากแนวคิด Slow food นายกเทศมนตรีของเมืองเล็กๆ สี่แห่งในประเทศอิตาลี จึงร่วมมือกันก่อตั้งโครงการเมืองเนิบช้า หรือที่เรียกว่า Citta slow ขึ้นในปี 1999 เพื่อพัฒนาและสร้างสภาพแวดล้อมเมืองให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตที่เนิบช้า ใช้ชีวิตค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้า แต่ก็ไม่ช้าจนล้าสมัย และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งแนวคิดทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ชีวิตเดินช้า แต่การพัฒนา ไม่หยุดนิ่ง สภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่ดี นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรในประเทศ

 

ปัจจุบันมีเมือง Citta slow อยู่ 141 เมือง จาก 23 ประเทศทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ประเทศนิวซีแลนด์ และเมืองเวลลิงตัน ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่หลายต่อคนต่างใฝ่ฝันอยากจะมาใช้ชีวิตช้าๆ ที่นี่

เวลลิงตันเป็นเมืองหลวงของประเทศนิวซีแลนด์ ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะเหนือ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นเมืองหลวงที่อยู่ใต้สุดของโลก เมืองนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ “เมืองแห่งสายลม” เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีสายลมพัดผ่านมากที่สุดของนิวซีแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างช่องแคบคุกและเทือกเขา Rimutaka Range อีกทั้งเมืองนี้ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาและธรรมชาติ จึงทำให้เวลลิงตันนั้นเต็มไปด้วยอากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่นตลอดเวลา

ชื่อของ “เมืองเวลลิงตัน” นั้น มาจากการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่ Arthur Wellesley หรือดยุกแห่งเวลลิงตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญที่นำพาอังกฤษชนะกองทัพของจักรพรรดินโปเลียนในสงครามวอเตอร์ลู จนได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษผู้พิชิตนโปเลียน  และยังได้ครอบครองเมืองเวลลิงตันเป็นรางวัลอีกด้วย

ชีวิตเดินช้า แต่การพัฒนา ไม่หยุดนิ่ง อาคารรัฐสภารวงผึ้ง คืออีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่แสดงออกถึงความทันสมัยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

เวลลิงตันเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน หากย้อนกลับไปเมื่อพันกว่าปี ตั้งแต่ครั้งที่ชาวเมารีแล่นเรือข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกมาพบหมู่เกาะนี้ เช่นเดียวกับคนผิวขาวที่ค้นพบเกาะเหนือ ก็เข้ายึดครอบครองพื้นที่ จนนำไปสู่การต่อสู้และแย่งชิงดินแดนกับชาวเมารี และสงบศึกด้วยการเซ็นสัญญาไวทังกิในปี 1840

ดังนั้น เกาะเหนือจึงถือว่าเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมชนเผ่าเมารีของนิวซีแลนด์

นอกจากเมืองเวลลิงตันจะเป็นเมืองหลวงของประเทศแล้ว เมืองนี้ยังมีความเก๋ไก๋และทันสมัย ราวกับว่ากระแสลมนั้นหอบเอาคลื่นลมแห่งความคิดสร้างสรรค์มายังเมืองนี้ ดังนั้นเมืองเวลลิงตันจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองหลวงแห่งศิลปวัฒนธรรมของประเทศ

Civic square จัตุรัสแห่งศิลปวัฒนธรรมของนิวซีแลนด์ ซึ่งตรงกลางจัตุรัสแห่งนี้จะมีอาคารที่ชื่อว่า Capital discovery ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดงานนิทรรศการและงานศิลปะต่างๆ และอีกหนึ่งประติมากรรมที่เป็น Hi-light ของที่นี่ก็คือ ประติมากรรมเหล็กทรงกลม ที่ลอยอยู่เหนือใจกลางจัตุรัส ซึ่งงานศิลปะชิ้นนี้เป็นตัวแทนของใบเฟิร์นท้องถิ่น 5 ชนิดของนิวซีแลนด์ ก็เพราะว่าใบเฟิร์นตามภาษาชนเผ่าเมารีนั้นหมายถึง การเริ่มต้นใหม่ การเติบโต และการผสมกลมกลืนของคนหลากหลายเชื้อชาติของนิวซีแลนด์

การเที่ยวชมเมืองเวลลิงตันมีหลากหลายวิธี แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะนิยมนั่งเคเบิลคาร์ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1902 เพื่อรับส่งคนงานจาก Lamton Quay ไปยังบ้านพักที่อยู่บนเนินเขารอบๆ เมือง ขณะนั่งเคเบิลคาร์ เราจะได้สัมผัสทัศนียภาพอันสวยงามเห็นเส้นขอบฟ้าของเมือง และเห็นหุบเขา Hutt Valley อยู่ลิบๆ อีกทั้งยังได้สูดอากาศอันบริสุทธิ์บนยอดเขา Victoria พร้อมกับนั่งพักชมความงามของอ่าวเวลลิงตันที่มีเรือน้อยใหญ่จอดเรียงรายเทียบท่าอยู่ สำหรับผู้ที่ต้องการเพลิดเพลินชมธรรมชาติอย่างไม่เร่งรีบ การเดินชมความเขียวชอุ่มของดอกไม้และต้นไม้น้อยใหญ่ภายในสวนพฤกษศาสตร์ (Botanic garden) นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่งที่ช่วยเติมเต็มพลังแห่งความสุขให้กับชีวิตคนเมืองอันสับสนวุ่นวายได้เป็นอย่างดี

ชีวิตเดินช้า แต่การพัฒนา ไม่หยุดนิ่ง พื้นที่สีเขียวใจกลางเมืองเพื่อให้ชาวเมืองได้มีโอกาสใกล้ชิดและเรียนรู้ธรรมชาติมากขึ้น

 

เพราะชาวเมืองเวลลิงตันเป็นคนรักธรรมชาติและใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ดังนั้นทุกพื้นที่ในเมืองจะมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นริมถนน ริมทางเดินทางเท้า หรือการเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะ เพื่อสร้างบรรยากาศที่สดชื่นให้กับชาวเมือง 

จากการที่รัฐบาลนิวซีแลนด์สนับสนุนนโยบายพื้นที่สีเขียวในเมืองนั้น ย่อมส่งผลดีต่อชาวเมือง เพราะจะทำให้ชาวเมืองได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น รู้สึกผ่อนคลาย และลดความตึงเครียด อีกทั้งรัฐบาลก็เปิดโอกาสให้พวกเขามีส่วนร่วมในการเสนอความคิด หรือแสดงความต้องการที่อยากให้เมืองของพวกเขาเป็นเช่นไร นับว่าเป็นการสร้างเมืองอย่างยั่งยืนที่ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเมืองของพวกเขาเอง เห็นอย่างนี้แล้ว ก็นึกอิจฉาชาวเมืองเวลลิงตันได้มีโอกาสอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี บรรยากาศดีๆ จึงนำซึ่งคุณภาพชีวิตที่ดีของคนที่นี่

ถ้าพูดถึงกีฬา แน่นอนว่าหลายคนต้องนึกถึงรักบี้ เพราะกีฬารักบี้ คือ กีฬาสายเลือดของลูกผู้ชายนิวซีแลนด์ รักบี้เป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งมีทีมชาติชื่อว่า All Blacks ที่ชาวกีวีหลายต่อหลายคนคลั่งไคล้

ทีม All Blacks หรือขุนพลในชุดสีดำ เป็นทีมรักบี้ที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นในฐานะตัวแทนของชาติเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งมีลีลาการเล่นที่คล่องแคล่วว่องไว และเหนือชั้นกว่าทีมอื่นๆ แม้ว่าประเทศอังกฤษจะเป็นต้นกำเนิดกีฬารักบี้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานความแข็งแกร่งของทีม All Blacks ได้ จากสถิติทีมชาติอังกฤษพ่ายแพ้แก่ทีม All Blacks อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งลักษณะเฉพาะตัวของทีม All Blacks คือ จะมีการเต้นรำข่มขวัญคู่ต่อสู้แบบชาวเมารี ที่เรียกว่า ฮากา (Haka) ซึ่งลูกทีมจะยืนหันหน้าเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ทำอาการขึงขังพร้อมส่งเสียงหนักแน่นข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามก่อนเริ่มแข่งขัน ชาวกีวีหลายต่อหลายคนจึงบอกว่าทีม All Blacks คือความภูมิใจของประเทศนิวซีแลนด์

มากไปกว่านั้น นิวซีแลนด์ยังขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความเหมาะสม สำหรับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง เพราะมีธรรมชาติที่สวยงาม ตามป่าเขาไม่มีสัตว์ร้ายอันตราย วิถีชีวิตของชาวนิวซีแลนด์ทั่วไปมีความสงบสุข ดังนั้นกิจกรรมกลางแจ้งจึงเป็นอีกความท้าทายและน่าตื่นเต้นที่เพิ่มรสชาติชีวิตให้กับชาวนิวซีแลนด์อีกทางหนึ่ง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ชวนตื่นเต้นอีกด้วย        

การกระโดดบันจี้จัมพ์ คืออีกหนึ่งกิจกรรมผาดโผน ที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างใฝ่ฝันว่าจะได้มา กระโดดบันจี้จัมพ์ของแท้ที่นิวซีแลนด์สักครั้งในชีวิต แต่เดิมการกระโดดบันจี้จัมพ์มีถิ่นกำเนิดมาจากการกระโดดหอสูงเพื่อวัดความเป็นลูกผู้ชายของชาวเกาะวานูอาตูตั้งแต่สมัยโบราณ และในปัจจุบันการกระโดดบันจี้จัมพ์จึงได้รับความนิยมไปทั่วโลก

อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก คือ การไต่หน้าผาจำลอง เพราะที่เวลลิงตันถือได้ว่าเป็น Indoor rock climbing ที่สูงที่สุดในนิวซีแลนด์ ดังนั้นกิจกรรมโลดโผนและชวนแบบเสียวแบบนี้ จึงมีทั้งชาวนิวซีแลนด์และนักท่องเที่ยวต่างพากันมาทดสอบกำลังเป็นจำนวนมาก เห็นอย่างนี้แล้ว ถ้าไม่เรียกนิวซีแลนด์ว่า “ที่สุด” แห่งกิจกรรมการท่องเที่ยว ก็คงไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้วแหละ

แต่สำหรับชาวนิวซีแลนด์ที่ต้องการใช้ชีวิตช้าๆ ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง คนที่นี่ก็จะพากันมาออกกำลังกายในสวนสาธารณะ เช่น เดินออกกำลังกาย วิ่งจ๊อกกิ้ง และปั่นจักรยานรอบสวน

มากไปกว่านั้น นิวซีแลนด์เป็นสวรรค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหาร เพราะสภาพภูมิอากาศแบบอบอุ่นและผืนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้ผลิตผลทางการเกษตรของที่นี่มีคุณภาพ ด้วยเหตุนี้ชาวนิวซีแลนด์จึงให้ความสำคัญกับการกิน ดังนั้นอาหารที่รับประทานนั้นจะต้องมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ถ้าผลิตภัณฑ์ใดที่เป็นออร์แกนิกหรือปลอดสารเคมีจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ด้วยสภาพบรรยากาศที่เรียบง่ายสบายๆ และสภาพแวดล้อมที่ดี จึงทำให้นิวซีแลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผู้คนสามารถใช้ชีวิตแบบ Slow life ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ การให้เวลากับตัวเอง ใช้ชีวิตช้าๆ อย่างมีสติ ใช้ชีวิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่รีบเร่งจนเกินไป และนั่นเองจึงนำมาซึ่งความสุขอย่างยั่งยืน