posttoday

โลกไร้กาลเวลา ที่ริปอน

23 สิงหาคม 2558

กัลยาณี สุขษาสุณี หรือกัล เจ้าของนามปากกา “กัลฐิดา” นักเขียนคนดังแนวแฟนตาซีแห่งสถาพรบุ๊คส์บอกว่า

โดย...วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ กัลฐิดา/ดร.วัชรพร พุทธรักษา

กัลยาณี สุขษาสุณี หรือกัล เจ้าของนามปากกา “กัลฐิดา” นักเขียนคนดังแนวแฟนตาซีแห่งสถาพรบุ๊คส์บอกว่า เธอชอบเดินทาง ยิ่งเดินทางคนเดียวไปในเมืองที่ไม่เคยไปยิ่งชอบมาก เพราะเมืองที่สวยงามปลายทางจะยิ่งสวยงามมากขึ้นเมื่อเราผ่านการเดินทางที่น่าจดจำ เมืองริปอน (Ripon) ประเทศอังกฤษ เป็นหนึ่งในเมืองแห่งความทรงจำของนักเขียนแฟนตาซีผู้นี้

ริปอนคือความบังเอิญของชีวิต ที่ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายของสถานที่ที่อยากไปสักครั้งก่อนตาย ความบังเอิญที่ว่าเกิดขึ้นเมื่อได้รับคำชวนของรุ่นพี่คนหนึ่งให้ไปเยือนสถานที่แห่งนี้สักครั้ง โดยครั้งแรกยังจำได้คือในปี 2553 ที่เจ้าตัวบอกว่าไปแบบงงๆ (ฮา) ใช่! รุ่นพี่ยืนยันว่าที่นี่สวยและน่ามาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต หากเมื่อได้ไปเยือน ความสวยงามของริปอนทำให้กัลฐิดาบอกตัวเอง นี่หรือริปอน สถานที่ที่จะต้องมาสักครั้งก่อนตาย ไม่ใช่เลย! นี่เป็นที่ที่เราต้องมาอีกหลายครั้งก่อนตาย(ฮา)

เดือน พ.ค. ปี 2557 กัลเดินทางไปประเทศอังกฤษเป็นครั้งที่สามในชีวิต การไปครั้งนี้เพื่อเป็นไกด์ให้เพื่อนที่อยากไปเที่ยวอังกฤษมากคนหนึ่ง กำหนดการเดินทางไปในเส้นทางที่กัลรู้จักดี ในฐานะไกด์เธอจัดตารางเที่ยวเพื่อเพื่อน แต่มีสถานที่เดียวเท่านั้นที่กัลขอร้องว่า ขอได้ไหม ที่นี่ที่เดียวที่ต้องไปให้ได้ แต่ต้องเสียเวลาเที่ยวหนึ่งวันเต็ม เพราะการเดินทางลำบาก เพื่อนตกลงจะมอบหนึ่งวันเพื่อไป Ripon

โลกไร้กาลเวลา ที่ริปอน

 

ลัดฟ้าจากไทยไปถึงอังกฤษ ลงที่สนามบินแมนเชสเตอร์ จากนั้นนั่งรถไฟต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปพักที่ยอร์ก (York) ในฤดูร้อนเมืองยอร์กเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งคนอังกฤษเองและคนต่างชาติ สถานที่สำคัญคือยอร์ก มินสเตอร์ (York Minster) ที่นี่มีมหาวิหารกอธิกที่สูงเป็นอันดับสองของยุโรป เป็นรองก็แต่มหาวิหารโคโลญจน์ในประเทศเยอรมนี แค่มองก็ทึ่งกับความยิ่งใหญ่แล้ว

มหาวิหารยอร์ก มีชื่อทางการว่า มหาวิหารและคริสตจักรมหานครแห่งนักบุญเปโตรในกรุงยอร์ก (The Cathedral and Metropolitical Church of St Peter in York) ส่วนสูงของยอดหอคอยคือ 31 เมตร ความลึกของวิหาร 148 เมตร เดิมทีตรงจุดที่มหาวิหารนี้ตั้งอยู่เป็นที่ตั้งของโบสถ์ไม้ ในปี ค.ศ. 630 ได้มีการก่อสร้างโบสถ์ที่ถาวรขึ้น มีการบูรณะโบสก์อีกหลายครั้ง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1220 บิชอป วอลเตอร์ เดอ เกรย์ จึงเริ่มโครงการสร้างมหาวิหารที่เราเห็นในปัจจุบันขึ้น โดยเสร็จสิ้นการก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1472

ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมในมหาวิหารแห่งนี้ เป็นช่วงก่อนคริสต์มาสปี ค.ศ. 2010 อากาศหนาวมาก พื้นที่ติดประตูทางเข้าของมหาวิหารด้านในจะมีการจัดต้นสนขนาดใหญ่ น่าจะสูงกว่า 10 เมตร เพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมมหาวิหารเขียนคำอธิษฐาน นักเขียนคนเก่งของเราเขียนว่า ขอให้ได้กลับมาที่เมืองนี้อีก หลังจากนั้น ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 2012 เธอก็ได้กลับมาที่นี่อีกครั้งจริงๆ

โลกไร้กาลเวลา ที่ริปอน

 

หากครั้งนี้มิได้เข้าไปในมหาวิหาร เนื่องจากตรงกับช่วงที่มีการปิดบูรณะ ทำได้แต่ยืนอยู่ด้านนอกมองมหาวิหารท่ามกลางสายฝน สวยและขลังอีกแบบ และครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ได้มีโอกาสมาในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 2014 หรือเมื่อปีที่แล้วนี่เอง มหาวิหารยอร์กโดดเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสดใส (เย้!) ตรงลานหน้ามหาวิหารมีนักดนตรีเข็นเปียโนมาเล่นบทเพลงไพเราะ ว้าว! ฟังคล้ายเพลงในโบสถ์ ที่ทำให้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศรอบตัว

“ครั้งหน้ากัลคงต้องมามองมหาวิหารยอร์กในฤดูใบไม้ร่วงบ้างแล้ว” กัลเล่า

อีกหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ของเมืองคือ The Shambles ตรอกแชมเบิ้ลส์เป็นถนนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานแห่งหนึ่งของอังกฤษ ลักษณะถนนจะคดเคี้ยวเล็กน้อยหากมองจากช่วงต้นของตรอก จะเหมือนอาคารบ้านเรือนโย้ไปเย้มา พอถามผู้รู้ รุ่นพี่บอกว่า เมื่อก่อนที่ดินของแถบนี้วัดกันที่ฐานรากของบ้าน ดังนั้น พอเขาสร้างบ้านชั้นสอง เลยมีการแอบเพิ่มเนื้อที่ชั้นสอง เลยทำให้บ้านชั้นบนโย้ออกมานอกฐานของบ้าน จนบางจุด หน้าต่างบ้านชั้นสองของบ้านที่อยู่ตรงข้ามกัน แทบจะไม่ห่างกันเลย

โลกไร้กาลเวลา ที่ริปอน

 

ปัจจุบันตรอกแชมเบิ้ลส์ เป็นจุดหมายปลายทางของนักช็อปปิ้ง ถนนเส้นเล็กๆ ที่มีร้านค้ามากมายอัดแน่นอยู่ในสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านขายของ
ที่ระลึก ร้านขนมหวาน ร้านขายเสื้อผ้า เป็นต้น ที่สำคัญหากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ Harry Potter ที่เคยประทับใจกับตรอกไดแอกอน ก็ขอบอกว่า ตรอกแชมเบิ้ลส์นี้เองที่เป็นต้นแบบ

“ร้าน Chocolate Haven ที่ตั้งอยู่กลางตรอกแชมเบิ้ลส์นี้ ยังเคยถูกใช้เป็นฉากในเรื่องแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ด้วย แน่นอนที่มันจะกลายเป็นสถานที่โปรดของใครหลายคน”

สำหรับกัลฐิดาเอง เธอไปตรอกแชมเบิ้ลส์ทุกครั้งที่ไปยอร์ก และไปหลายครั้งในทริปหนึ่ง เนื่องจากชอบมากที่จะเดินบนถนนเส้นนี้ แค่เดินเฉยๆ ก็มีความสุขแล้ว ยิ่งตอนมีคนเดินเยอะๆ ร้านรวงเปิดให้บริการจับจ่ายซื้อของ โดยเฉพาะร้านน้ำชา (ที่นั่นเรียกร้านน้ำชาว่า Tea room) ซึ่งมีเป็นระยะตลอดทั้งตรอก บรรยากาศมีคนนั่งเต็ม เสียงแก้วกระทบ เสียงคนพูดคุยที่ดังมาเป็นระยะ กลิ่นชา กลิ่นขนม กลิ่นช็อกโกแลตอวลไปทั้งถนน เวลาแบบนั้นทำให้นึกอยากหาร้านขายคทาของคุณโอลิแวนเดอร์ขึ้นมาทีเดียวเชียว

โลกไร้กาลเวลา ที่ริปอน

 

วันที่สามของการเดินทาง กัลและเพื่อนมุ่งหน้าสู่เมืองที่เล็กที่สุด โดยถือเป็นเมืองอันดับสามของประเทศอังกฤษ เมือง Ripon เมืองที่เป็นที่ตั้งของ Studley Royal Park และ Fountains Abbey ซึ่งองค์กร UNESCO ยกให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรม ด้วยเหตุลผลว่าที่ Studley Royal Park และ Fountains Abbey เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ที่สะท้อนให้ถึงความมั่งคั่งของชนชั้นสูงในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 18

การเดินทางจาก York ไปยังเมือง Ripon มี 2 เส้นทาง เส้นทางแรก คือนั่งรถบัสที่เชื่อมต่อระหว่างเมือง มี 2 สายที่ขึ้นได้คือสาย 142 และสาย 143 ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที ซึ่งไม่จำเป็นต้องซื้อตั๋วล่วงหน้าหรือจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เหมือนรถทัวร์บ้านเรา ขึ้นไปบอกสถานีที่ต้องการลงแล้วจ่ายค่าตั๋วกับคนขับได้เลย เพียงแต่ต้องขึ้นที่ป้ายรถที่รถบัสนี้วิ่งผ่านเท่านั้น

ส่วนเส้นทางที่ 2 คือ นั่งรถไฟไปลงเมือง Harrogate แล้วต่อรถบัสสาย 36 ไปเมือง Ripon ใช้เวลา 30 นาที ในครั้งนี้เธอเลือกเดินทางโดยใช้วิธีแรก ไม่ใช่เพราะดีกว่าหรอกนะ แต่เพราะไม่รู้ว่ามีวิธีที่สองด้วย อุ๊ปส์

โลกไร้กาลเวลา ที่ริปอน

 

รถบัสสาย 142 กับ 143 จะวิ่งผ่านหน้า York Station ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเมือง York โดยมีรถบัสสายนี้ผ่านทุกสองชั่วโมง รอบเช้าที่สุดคือ 6.47 น. กัลกับเพื่อนตื่นตั้งแต่เช้าแล้วเดินออกจากโรงแรมไปที่ป้ายรถบัส วันนั้นฤกษ์ไม่ดี ฝนตกตั้งแต่เช้า เราก็เดินตากฝนกันไป แต่ความโชคร้ายยังมาเยือนไม่หมด ช่วงนั้น York เป็นเส้นทางผ่านของผู้แข่งขัน Tour de France เส้นทางการเดินรถถูกจำกัด รถบัสรอบเช้าสุดถูกยกเลิก กัลกับเพื่อนจึงต้องเดินตากฝนกลับเข้าโรงแรมแล้วแล้วรอรถรอบถัดมา

รถบัสวิ่งจาก York ผ่าน Green Hammerton และ Boroughbridge ก่อนจะถึง Ripon สภาพถนนนั้นอย่าให้พูดถึง เป็นเส้นทางวิ่งผ่านทุ่งหญ้าดีๆ นี่เอง นอกจากจุดที่ผ่านเมืองแล้วนอกนั้นเป็นเส้นทางที่รถคันเดียววิ่งผ่านได้ นั่นหมายความว่าหากมีรถสวนมา จะต้องหาไหล่ทางหลบ แล้วให้อีกคันขับผ่านไปก่อน ถนนก็ขดไปขดมา มีการข้ามสะพานเล็กๆ เป็นระยะ

“ที่น่าขำก็คือ คนขับรถมีหลงทางด้วย ขับๆ อยู่มีการกลับรถกลางถนนเสียอย่างนั้น แล้ววิ่งกลับทางเดิม กัลกับเพื่อนงง แต่เห็นคุณตาคุณยายที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไรก็เลยนั่งตีเนียนไปจนถึงเมือง Ripon โดยสวัสดิภาพ”

ลงจากรถบัสพวกเราก็เดินตามทางมาที่จัตุรัสของเมืองเพื่อหาแท็กซี่ ระหว่างทางเดินกัลก็พาเพื่อนไปเยี่ยมชมโบสถ์ประจำเมืองริปอน ก่อนจะเดินไปที่จุดขึ้นรถแท็กซี่ ซึ่งโชคดีมากที่ได้คนขับเป็นคุณลุงแสนน่ารักที่เคยมาเที่ยวประเทศไทย พอบอกว่าเราเป็นคนไทยก็ทัก “สวัสดีครับ”

เมื่อมาถึงที่หมาย ได้ขอนามบัตรของคุณลุง เพื่อเอาไว้ติดต่อให้มารับกลับไปส่งที่จัตุรัส เนื่องจากบริเวณนี้ไม่มีรถประจำทางวิ่งผ่าน ต้องใช้รถส่วนตัวหรือไม่ก็รถแท็กซี่เท่านั้น แต่ค่าโดยสารจะนับตั้งแต่เราขึ้นรถ ไม่ได้นับตั้งแต่เราโทรให้แท็กซี่มารับ ถือว่าเป็นการบริการที่ดีมากเลยทีเดียว

อัตราค่าเข้า Fountains Abbey และ Studley Royal Park ของผู้ใหญ่ คือ 11 ปอนด์ เมื่อจ่ายแล้วก็ต้องเดินตามทางผ่านทุ่งหญ้า ลงสู่หุบเขา ชอบภาพที่ผู้คนที่นี่เดินลงผ่าน
ทุ่งหญ้าภายใต้ท้องฟ้าสดใส ไม่ว่าจะมองภาพนี้กี่ครั้งก็รู้สึกถึงอิสรภาพและความผ่อนคลาย พ้นจากทุ่งหญ้าก็จะต้องเดินลงเนินชันลงสู่ก้นหุบเขา ระยะเวลาการเดินลงใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ตอนเดินขึ้นนี่เกือบ 30 นาทีเลยทีเดียวเพราะเนินขึ้นลงนี้ชันมาก

เมื่อลงมาถึงก้นหุบเขา สิ่งที่รอเราอยู่คือ Fountains Abbey เป็นโบสถ์ของคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกสังกัดคณะซิสเตอร์เชียน ซึ่งเป็นคณะนักบวชที่มีวิถีชีวิตที่เน้นการใช้แรงงานที่ทำด้วยมือ โดยเฉพาะในการทำเกษตรกรรม นอกจากนั้น ว่ากันว่า สถาปัตยกรรมซิสเตอร์เชียนยังถือว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามที่สุดในช่วงยุคกลาง

Fountains Abbey แห่งนี้เป็นโบสถ์ที่สวยงามและใหญ่ที่สุดของคณะซิสเตอร์เชียน ถูกสร้างในปี ค.ศ. 1132 ใช้เวลาสร้างกว่า 400 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1539 ได้ถูกทำลายลงจนเหลือเพียงซากความยิ่งใหญ่อย่างน่าเสียดาย แต่ซากของโบสถ์กลางของ Fountains Abbey ยังคงตั้งตระหง่านท้าทุกสภาพอากาศ โดยเมื่อเดินเข้าไปด้านใน ความสมมาตรทางสถาปัตยกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ทำให้เข้าใจว่า ต้องใช้ความพยายามและแรงศรัทธาขนาดไหนที่จะสร้างสถานที่ซึ่งรวมจิตวิญญาณของผู้คนเอาไว้ได้

“เราเดินไปรอบเมืองขนาดย่อม ที่นี่มีสิ่งอุปโภคบริโภคครบครัน พวกเขามีลำธารที่มีน้ำใสไหลตลอดปี มีกังหันน้ำช่วยในการบดข้าวสาลี มีโรงครัว มีตลาดเล็กๆ มีสถานที่ร้องทุกข์ มีเรือนรับรองแขก ที่อยู่รอบโบสถ์ขนาดใหญ่ของพวกเขา ทั้งหมดอยู่ในสภาพซากปรักหักพังที่ได้รับการดูแลอย่างดี ซึ่งทำให้เราสามารถเข้าใจถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยที่นี่

“ผู้คนที่นี่ดำเนินชีวิตอย่างไร้กาลเวลา พวกเขาตื่นเช้าทำกิจวัตรของนักบวช ออกทำงานเพื่อสร้างอาหารยังชีพ มีการแบ่งหน้าที่ทำงานอย่างเป็นระบบ และมีระบบการจัดการเบ็ดเสร็จในตัวเอง ทุกอย่างสอดคล้องไปกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แม้จะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่อีกแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ยังเงียบสงบท่ามกลางหุบเขาที่มีเพียงแสงแดดและไอเย็นโอบล้อมตลอดทั้งปี สำหรับกัลที่นี่คือเมืองลับแลโดยแท้”

เมื่อเดินจนเหนื่อย กัลกับเพื่อนก็เดินกลับมานั่งใต้ต้นไม้เหมือนกับครอบครัวหลายครอบครัวที่มาปิกนิกที่นี่ ที่นี่มีอาหารแบบคนท้องถิ่นบริการขาย ผู้ที่เข้ามาเดินเที่ยวสามารถซื้อหรือจะเตรียมอาหารมาปิกนิกเองก็ได้ สำหรับเราซึ่งเดินทางมาจากยอร์ก ซื้อติดตัวมาได้แค่แซนด์วิชไข่คนน้ำสลัดอโวคาโด และน้ำเปล่า คิดว่าเอาไว้กินกันตาย

ใครๆ ก็คงรู้ดีกันอยู่แล้วว่า แซนด์วิชตามแบบฉบับคนอังกฤษรสชาติค่อนข้างจืดชืด ขนมปังแข็งเหนียว ที่สำคัญ ไส้แซนด์วิชแทบไม่ได้ผ่านการปรุงหรือไม่ก็คงปรุงน้อยมาก ไข่คนก็ไข่คนจริงๆ ไม่มีรส น้ำสลัดอโวคาโดก็เป็นกลิ่นอโวคาโดเท่านั้น จะหาซอสมะเขือเทศเติมให้อร่อยก็ไม่มี ปกติไม่น่าจะอร่อย แต่วันนี้อาจเพราะหิวเลยรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ

กินแซนด์วิชไปพลาง ก็มองไปพลางถึงความยิ่งใหญ่ไร้กาลเวลาของ Fountains Abbey จินตนาการถึงความรุ่งเรืองของสถานที่แห่งนี้ในอดีต ช่างมีความสุขจริงๆ อย่างนี้แล้วจะไม่ให้เป็นสถานที่ที่อยากมาอีกหลายๆ ครั้งก่อนตายได้อย่างไร