ครั้งแรกที่ได้ลอง
สมแล้วที่ชื่อ "เมืองลอง" เพราะมันน่าลองไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะ "ลองดู" สถานีรถไฟบ้านปินสไตล์บาวาเรียนที่ยังอยู่รอดมานานถึง 103 ปี
โดย...กาญจน์ อายุ
สมแล้วที่ชื่อ "เมืองลอง" เพราะมันน่าลองไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะ "ลองดู" สถานีรถไฟบ้านปินสไตล์บาวาเรียนที่ยังอยู่รอดมานานถึง 103 ปี "ลองกิน" ขนมเส้นน้ำย้อยรสเด็ดที่ทำให้ลืมทุกที่ที่เคยกินมา "ลองคุย" กับปราชญ์ผู้สืบสานผ้าซิ่นตีนจกโบราณ และ "ลองสัมผัส" ความรักของชาวบ้านที่ทำให้ไม่อยากไปจากเมืองลอง
เท้าความกลับไปในอดีตตามคำบอกเล่าของ โกมล พานิชพันธ์ อาจารย์สอนทอผ้า ลูกหลานชาวเมืองลอง ปราญช์ และเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ กล่าวว่า วัฒนธรรมที่สำคัญของเมืองนี้คือ การทอผ้าซิ่นตีนจก ซึ่งมีทักษะการทอที่เก่าที่สุดในประเทศไทย และเชื่อว่าการทอจะไม่สูญหายไปเพราะชาวเมืองลองก็ยังทอผ้าอยู่ถึงปัจจุบัน
“สมัยก่อนคนที่นี่ไม่ต้องสอนก็ทอผ้าเป็น คือเรียนรู้จากเพื่อนบ้าน เพราะเมื่อก่อนบ้านไม่มีรั้ว เราก็จะเห็นว่าบ้านนี้ทอผ้ายังไง ครูพักลักจำกันไปเดี๋ยวก็เป็น อย่างพ่อแม่ก็ไม่เคยสอน แต่ดูจากเพื่อนบ้านเอาสามวันเจ็ดวันก็ฝึกทอเองได้แล้ว” กาแฟดำในถ้วยเริ่มพร่องแต่รสชาติยังหอมกรุ่นเหมือนบทสนทนา
“ผ้าโบราณของเมืองลองคือ ผ้าซิ่นตีนจก ที่เราสามารถเทียบอายุผ้าได้จากจิตรกรรมฝาผนังวัดเวียงต้า อายุ 200 กว่าปี ที่ได้สื่อถึงการแต่งกายของชาวไทยโยนกซึ่งเป็นคนไทยดั้งเดิมของเมืองลอง และแสดงให้เห็นว่าผ้าซิ่นตีนจกมีอายุเก่าแก่และมีความสำคัญมาก”
โกมลยังกล่าวต่อว่า ผ้าซิ่นตีนจกเมืองลองแตกต่างจากสุโขทัยอย่างสิ้นเชิง เพราะที่นี่เป็นผ้าที่ทอโดยชาวไทยโยนกหรือไทยยวน ซึ่งคนเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน เป็นไทยโยนกเกือบร้อยละ 90
เอกลักษณ์ของผ้าจะเป็นผ้าซิ่นลายขวางเท่านั้น ไม่มีลายอื่น โดยแบ่งผ้าซิ่นเป็น 3 ส่วน เปรียบเหมือนคนคนหนึ่งที่มี หัวซิ่น (ใช้สีขาวกับแดง) ตัวซิ่น และตีนซิ่น ใช้เทคนิคการทอที่เรียกว่า จก ซึ่งที่อื่นคำว่า จก คือ การปักผ้าไปพร้อมกับการทอผ้าพื้น แต่ที่เมืองลองไม่มีผ้าพื้น จก จึงเป็นการทอหนึ่งเส้นปักหนึ่งเส้นสลับกันไปจนเกิดลายเสมือนภาพสามมิติบนผืนผ้า
นอกจากนี้ การกลับมาพัฒนาบ้านเกิดของเขา ยังหวังให้เมืองลองเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเส้นทางการท่องเที่ยวนั้นได้ยกให้ สถานีรถไฟบ้านปิน เป็นประตูบานแรกที่เปิดสู่เมืองลอง
'ลองดู' สถานีรถไฟบ้านปิน
สถาปัตยกรรมสไตล์บาวาเรียน โครงสร้างก่ออิฐถือปูน ใช้เทคนิคเฟรมเฮาส์โดยนำแท่งไม้มาสานเป็นลวดลายของผนัง อันเป็นเอกลักษณ์ของสถานีรถไฟบ้านปิน คุณปู่แห่งเมืองลองอายุ 103 ปี ซึ่งมีความสำคัญต่อการค้าในอดีตอย่างมาก
สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีรถไฟประจำตำบลและอำเภอลอง ทั้งยังเป็นสถานีรถไฟแห่งเดียวในแพร่ ที่เป็นสถานีระดับ 2 ประกอบด้วย 5 ราง สร้างโดยนายช่างชาวเยอรมันนาม เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ ผู้รับผิดชอบสร้างทางรถไฟช่วงนี้ต่อไปยังลำปาง โดยเขาได้นำไม้สักที่มีมากมายในเมืองแพร่มาสร้าง ซึ่งรูปแบบสไตล์บาวาเรียนมีเพียงที่สถานีนี้เท่านั้น ทว่ารายละเอียดต่างๆ ยังมีความเป็นไทยอยู่บ้างอย่างหลังคาทรงปั้นหยาตกแต่งด้วยไม้ฉลุ และช่องลมเหนือประตูหน้าต่างก็ทำเป็นบานลูกฟักฉลุไม้เป็นลายพรรณพฤกษาอย่างงดงาม
ปัจจุบันสถานีรถไฟบ้านปิน กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่สามารถบอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองลอง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดลำเลียงและค้าขายสินค้า โดยเฉพาะไม้สักไปยังจังหวัดต่างๆ ทางภาคเหนือ ทว่าทุกวันนี้สถานีจะไม่คึกคักและไม่มีไม้สักเหมือนแต่ก่อน แต่เส้นทางรถไฟยังคงเป็นเส้นทางคมนาคมสุดคลาสสิกที่คนกรุงเทพฯ สามารถนั่งจากหัวลำโพงไปเชียงใหม่จะผ่านสถานีบ้านปิน และชาวบ้านเองก็ยังใช้เป็นเส้นทางโดยสารระหว่างอำเภอด้วย
ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ ยังมีแผนโปรโมทการท่องเที่ยวทางรถไฟ ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นแพร่ในมุมมองใหม่ผ่านการเล่าเรื่องราวจากเมืองลองซึ่งเป็นเมืองรองสู่ตัวเมืองแพร่
'ลองกิน' ขนมเส้นน้ำย้อย
ถ้าอยากกินของอร่อยประจำเมืองลองต้องมากินก่อนบ่าย 2 ไม่เช่นนั้น ร้านขนมเส้นน้ำย้อย ป้าเพ็ญ อาจหมดเกลี้ยง เพราะที่นี่คนท้องถิ่นเองยังยกให้เป็นที่หนึ่ง
ขนมเส้นหรือขนมจีนนั้น คนเมืองลองจะชอบกินกับน้ำพริกน้ำย้อย เป็นน้ำพริกรสชาติเผ็ดและหอมกลิ่นหอมเจียว ทำจากวัตถุดิบไม่กี่อย่างคือ พริกแห้ง กระเทียม หอมแดงเจียว และกุ้งแห้งกรอบ นำมาผัดให้เข้ากัน ซึ่งขั้นตอนผัดคั่วนี้เองที่ไม่สามารถลอกเลียนกันได้จึงทำให้น้ำพริกน้ำย้อยของแต่ละเจ้าต่างกัน
ส่วนขนมเส้นจะทำจากเส้นหมักบีบสด บีบลงน้ำที่เริ่มเดือด รอให้เส้นลอยดูว่าขึ้นเงาสวย และจับเส้นใส่จานกินคู่กับน้ำพริกน้ำย้อย ผักลวก และน้ำต้มกระดูกหมูไว้ซดให้คล่องคอ
พอได้ชิมต้องบอกว่า อร่อยจนต้องขอสองและสามสี่ไว้ห่อกลับบ้าน เพราะนอกจากรสชาติของเส้นบีบสด ความเผ็ดหอมของน้ำพริกน้ำย้อยยังถูกใจคนภาคกลางเป็นที่สุด จึงต้องซื้อน้ำพริกกลับไปกินกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน หรือล่าสุดกินคู่กับขนมปังก็ถือเป็นอาหารฟิวชั่นรสดีทีเดียว
'ลองคุย' กับเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ
หลังจากเกริ่นเรื่องผ้าซิ่นตีนจกโบราณไป โกมลได้เล่าต่อถึง พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ ที่เปิดมานาน 25 ปี เป็นสถานที่เก็บรวบรวมผ้าซิ่นตีนจกโบราณของอาจารย์ที่สะสมไว้ตั้งแต่ปี 2522 โดยมีผ้าที่สมบูรณ์ราว 1,200 ผืน และผ้าที่ยังไม่สมบูรณ์อีกประมาณ 1,000 ผืน
ภายในพิพิธภัณฑ์ได้จัดแสดงผ้าซิ่นไว้เป็นหมวดหมู่ โดยมีผ้าซิ่นตีนจกโบราณแสดงไว้เพียงส่วนหนึ่งเพื่อแสดงถึงขั้นตอนการทำและความสัมพันธ์ระหว่างคนกับผ้า
นอกจากนี้ ยังต่อชีวิตลายผ้าซิ่นตีนจก ด้วยการกระจายกลุ่มทอผ้าไปตามหมู่บ้านต่างๆ พร้อมให้อุปกรณ์และลายผ้าที่อาจารย์แกะมาจากผ้าซิ่นโบราณ วิธีนี้ชาวบ้านจะได้ค่าแรงเป็นรายได้ ส่วนการขายจะเป็นหน้าที่ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างอาชีพแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์วิถีทอผ้าและลายผ้าซิ่นโบราณไว้ให้คงอยู่ต่อไป
'ลองสัมผัส' ความรักของผู้คน
วัฒนธรรมจะอยู่รอดไม่ได้ถ้าคนไม่สืบสานต่อกันมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนเมืองลองหวงแหนรากเหง้าของตนมาก อย่างที่ โฮงซึงหลวง แหล่งเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของเมืองลอง ที่ก่อตั้งโดยคนรุ่นใหม่ จีรศักดิ์ ธนูมาศ ผู้ชื่นชอบเครื่องดนตรีพื้นเมืองของล้านนา โดยเฉพาะ พิณเปี๊ยะ เครื่องดนตรีโบราณที่หาคนเล่นได้ยากแล้ว
โฮงซึงหลวง เป็นสถานที่สอนดนตรีล้านนาฟรี เป็นโรงเรียนสอนทำซอและซึงแฮนด์เมดทุกขั้นตอน และเป็นจุดจำหน่ายเครื่องดนตรีล้านนา ผู้ที่สนใจสามารถมาเรียนรู้หรือซื้อได้จากผู้ผลิต ผู้มีจิตอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นผ่านเครื่องดนตรีพื้นเมือง
นอกจากนี้ ในตัวเมืองลองบ้านเรือนยังเป็นเรือนไม้สองชั้น ชาวบ้านยังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเดิมไว้ แม้ว่าวิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งอาคารหนึ่งที่เตะตากว่าหลังไหนๆ คือ ร้านถ่ายรูปฉลองศิลป์ ร้านของคุณพ่อของโกมล ที่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายและกล้องถ่ายรูป รวมถึงบนชั้น 2 ยังทำเป็นนิทรรศการหมุนเวียนให้นักศึกษามาใช้พื้นที่ฟรี ซึ่งคำว่าอนุรักษ์อีกความหมายหนึ่งก็คือ ความรักของชาวเมืองลองที่ไม่อยากให้อดีตจมหายไปกับสิ่งที่เรียกว่าโบราณ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงไม่น่าเกลียดถ้าจะกล่าวว่า เสน่ห์เมืองลองไม่เป็นสองรองใคร แม้นจะเป็นอำเภอเล็กๆ ของ จ.แพร่ ที่ถูกแบ่งแยกด้วยภูเขา แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้ไม่อยากมา "ลอง" เมืองที่เต็มไปด้วยการลองสิ่งใหม่ที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว


