posttoday

ผ่าพิภพ ‘สตูล’

22 เมษายน 2560

ไม่เคยไม่ได้อะไรกลับมา กับการเดินทางร่วมกับทีมกรมทรัพยากรธรณี อย่างครั้งนี้ที่ไปตามหาประวัติศาสตร์หลักร้อยล้านปี

โดย...กาญจน์ อายุ

 ไม่เคยไม่ได้อะไรกลับมา กับการเดินทางร่วมกับทีมกรมทรัพยากรธรณี อย่างครั้งนี้ที่ไปตามหาประวัติศาสตร์หลักร้อยล้านปีใน "สตูล" กับแหล่งฟอสซิลบนพื้นที่กว้างใหญ่ และถ้ำเลสเตโกดอนที่เป็นไฮไลต์ในมุมที่แปลกออกไป

 ก่อนเข้าสู่เรื่องธรณีวิทยา ต้องขออัพเดทข่าวความคืบหน้าการผลักดันอุทยานธรณีสตูลให้เป็นอุทยานธรณีโลก โดยหลังจากวันที่ 8 พ.ย. 2559 ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้เสนออุทยานธรณีสตูลเป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกขององค์การสหประชาชาติ (ยูเนสโก) แล้ว วันนี้กำลังอยู่ในกระบวนการการตรวจสอบของยูเนสโก ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลอย่างเป็นทางการภายในปี 2561 และมีแนวโน้มว่าไม่น่าจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ผิดหวัง

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ เขตข้ามกาลเวลาเขาโต๊ะหงาย

 

 อุทยานธรณีโลก คือ พื้นที่รวมแหล่งและสภาพภูมิประเทศที่มีความสำคัญทางธรณีวิทยาระดับนานาชาติ โดยพื้นที่เหล่านี้จะได้รับการบริหารจัดการแบบองค์รวม ได้แก่ การอนุรักษ์ การให้การศึกษา และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปัจจุบันทั่วโลกมีอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก 120 แห่ง ใน 33 ประเทศ โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวน 4 แห่ง

 ทั้งนี้ อุทยานธรณีสตูลได้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2557 มีเนื้อที่ทั้งหมด 2,597 ตร.กม. ครอบคลุมพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ ทุ่งหว้า มะนัง ละงู และ อ.เมือง (ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา) มีแหล่งสำคัญทั้งหมด 69 แห่ง ประกอบด้วยแหล่งธรณี ซากดึกดำบรรพ์ แหล่งธรรมชาติ แหล่งโบราณคดี และวิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ ล่องคายักชมภายในถ้ำเลสเตโกดอน

 

 โดยมี นายกโอเล่ย์-ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งหว้า เป็นผู้อำนวยการอุทยานธรณีสตูลคนแรกกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งหากอุทยานธรณีสตูลได้เป็นสมาชิกอุทยานธรณีโลกจริง จะทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ และทำให้ทรัพยากรได้รับการปกป้องอย่างยั่งยืน

ถ้ำเลสเตโกดอน

 ความหลากหลายในพื้นที่อุทยานธรณีสตูล แท้จริงแล้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายแต่ที่ต้องกล่าวถึงเป็นแห่งแรกคงหนีไม่พ้น 'ถ้ำเลสเตโกดอน' หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ถ้ำวังกล้วย สถานที่เจอฟอสซิลช้างสเตโกดอน อายุ 1.8 ล้านปี อันเป็นที่มาของการจัดตั้งอุทธยานธรณีสตูล

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ ทางเดินสู่เกาะลิดี

 

 ถ้ำเลสเตโกดอนนับเป็นถ้ำลอดที่ยาวที่สุดที่ยังมีซากฟอสซิลสัตว์ทะเลมหายุคพาลิโอโซอิกฝังตามหินภายในถ้ำ หินย้อย และน้ำตกที่อยู่ภายใน โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2551 ขณะที่ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังดำน้ำจับกุ้งอยู่ในถ้ำวังกล้วย ได้พบซากดึกดำบรรพ์ (ฟอสซิล) ลักษณะเป็นหินสีน้ำตาลไหม้ น้ำหนัก 5.3 กก. ยาว 44 ซม. สูง 16 ซม. ห่างจากปากทางเข้าถ้ำด้านหมู่บ้านคีรีวงประมาณ 1.6 กม.

 จากการศึกษาพบว่า ฟอสซิลดังกล่าวเป็นซากกระดูกขากรรไกรพร้อมฟันกรามซี่ที่ 2 และ 3 ด้านล่างขวาของช้างดึกดำบรรพ์สกุลสเตโกดอน อายุประมาณ 1.8 -0.01 ล้านปีในยุคไพลสโตซีน และสันนิษฐานว่า ฟอสซิลช้างโบราณอาจถูกกระแสน้ำทะเลพัดพาเข้ามาในถ้ำ ซึ่งนับเป็นการค้นพบฟอสซิลสัตว์งวงแห่งแรกของภาคใต้

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ แว่นขยาย อุปกรณ์ดูฟอสซิลของนักธรณีวิทยา

 

 นอกจากนี้ ภายในถ้ำเลสเตโกดอนยังสำรวจค้นพบฟอสซิลช้างโบราณสกุลเอลลิฟาส อายุ 1.1 ล้านปี ฟอสซิลแรดโบราณ 2 สกุล คือ เกนดาธิเรียมและคิโลธิเรียม และฟอสซิลอื่นๆ อีกกว่า 200 ชิ้น สตูลจึงเป็นแหล่งฟอสซิลที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุประมาณ 500 ล้านปีมากกว่ายุคไดโนเสาร์

 สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการเรือคายักของชาวบ้านในการล่องชมหินงอกหินย้อย ระยะทางประมาณ 2 กม. ตามสโลแกน "ตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงค์" โดยปลายถ้ำสามารถทะลุออกทะเลอันดามัน ดังนั้นเมื่อออกจากถ้ำแล้วต้องนั่งเรือใหญ่ผ่านแนวป่าโกงเกงออกไปยังทะเลเพื่อกลับเข้าฝั่ง เส้นทางท่องเที่ยวถ้ำเลสเตโกดอนจึงทำให้เห็นความหลากหลายทางธรรมชาติและทางธรณีวิทยา ซึ่งจะทำให้เข้าใจว่าทำไมสตูลถึงควรค่าแก่การเป็นอุทยานธรณีโลก

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ ฟอสซิลในหินที่ฟอสซิลแลนด์

 

ฟอสซิลแลนด์

 อุทยานธรณีท้องถิ่นที่กำลังจะก้าวสู่อุทยานธรณีระดับโลก ตอกย้ำความโดดเด่นด้านซากดึกดำบรรพ์ด้วยแหล่งฟอสซิลขนาดใหญ่ หรือ ฟอสซิลแลนด์ แผ่นดินยุคแรกเริ่มวิวัฒนาการของโลกเมื่อ 542-251 ล้านปีก่อนในมหายุคพาลิโอโซอิกสัตว์ทะเลและสิ่งมีชีวิต สาหร่ายดึกดำบรรพ์และภูเขาสาหร่าย ยุคก่อนที่จะมีสัตว์มีครีบเกิดขึ้นบนโลก ฟอสซิลแลนด์จึงไม่มีลักษณะเด่นที่เห็นด้วยตา แต่มันฝังอยู่ในพื้นดินแทบทุกตารางเมตร

 อย่างสาหร่ายสโตมาโทไล บ้านป่าฝาง ห่างจาก อ.ละงู ประมาณ 6 กม. ลักษณะเป็นแหล่งธรณีวิทยาริมลำธารข้างถนนของบ้านป่าฝาง โดยพบชั้นหินปูนสีแดงยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 470 ล้านปี) ที่มีซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลท์ ลักษณะเป็นห้องขนาดเท่าๆ กันปรากฏชัดเจน และยังพบซากดึกดำบรรพ์ของปลาหมึกทะเลโบราณมีเปลือกหุ้มลำตัว หรือนอติลอยด์ (Nautiloid) 2 สายพันธุ์ และส่วนปล้องของพลับพลึงทะเลโบราณ (Crinoid stem)

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ น้ำตกธารปลิว

 

 นอกจากนี้ ยังค้นพบสโตรมาโตไลท์ เขาแดง ในเขตพื้นที่บ้านท่าแลหลา นับเป็นแหล่งที่ค้นพบสโตมาโทไลต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสตูล โดยเขาแดงเป็นภูเขาหินปูนยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 470 ล้านปี) พื้นที่อยู่บริเวณฝั่งตะวันตกของเขา จุดเด่นคือ ซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลท์ในลักษณะเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ (Colony) แทรกอยู่ในเนื้อหินปูนกว้าง 4 เมตร ยาว 15 เมตร สูง 6 เมตร

 ทั้งนี้ สาหร่ายสโตรมาโตไลท์มีความสำคัญต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นตัวสร้างออกซิเจนให้กับสิ่งมีชีวิตแรกเริ่มในยุคแคมเบรียน (500 ล้านปี) โดยในยุคก่อนหน้านี้ไม่มีออกซิเจนอิสระอยู่เลย การมีออกซิเจนขึ้นมาทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ออกซิเจนในที่สุด และมีจุดเด่นทางธรณีอีกอย่างคือ การแสดงลักษณะการสะสมตัวเป็นชั้นๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยฉับพลัน บ่งบอกสภาวะแวดล้อมโบราณซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ สาหร่ายสโตรมาโตไลท์ บ้านป่าฝาง

 

เกาะลิดี

 ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเกาะเภตราสามารถแบ่งแหล่งธรรมชาติออกเป็น 3 บริเวณ ได้แก่ บริเวณถ้ำหินปูน บริเวณหาดโคลนต้นลำพู และเกาะหว้าหิน

 บริเวณเกาะลิดีเป็นพื้นที่ประกอบด้วยหินปูนสีเทาขาว และพบถ้ำขนาดเล็กมีความกว้างประมาณ 1 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร สูงประมาณ 3 เมตร ส่วนบริเวณหาดโคลนต้นลำพู จะพบรากต้นลำพูโผล่ขึ้นบนอากาศเป็นจุดเด่นด้านพฤกษศาสตร์ และส่วนบริเวณพื้นที่เกาะหว้าหินประกอบด้วยหินทรายตะกอนขนาดละเอียด การคัดขนาดดี สีเทาขาว มีความหนาของชั้นหินตะกอนขนาด 20-50 ซม. และมีสันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะลิดีกับเกาะหว้าหิน (ทะเลแหวก) วางตัวเป็นทางเดินแนวเหนือ-ใต้ สะสมตัวเป็นความยาว 100 เมตร และบนเกาะหว้าหินยังพบซากดึกดำบรรพ์หลายชนิด เช่น แบรคิโอพอด (หอยตะเกียง) รูหนอน และฟอสซิลฟองน้ำ

 การเดินทางไปเกาะลิดีต้องนั่งเรืออกจากฝั่ง อ.ละงู ไปประมาณ 5 กม. เป็นเกาะที่เงียบสงบ มีชายหาดโค้งยาว ทิวสน และป่าโกงกางขนาดใหญ่ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามทะเลไปยังเกาะหว้าหินได้บนสันทรายที่จะเชื่อมถึงกันขณะที่น้ำทะเลลดเท่านั้น

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ ป่าโกงกางบนเกาะลิดี

 

 นอกจากนี้ จากเกาะลิดีสามารถล่องเรือไปดูจุดข้ามภพที่ เขาโต๊ะหงาย ลักษณะเป็นผาหินสองสีแดงและเทา เรียกว่า ธรณีสองภพ ที่มาติดต่อกันโดยธรรมชาติซึ่งมีอายุห่างกันนับร้อยล้านปี

น้ำตกธารปลิว

 นอกจากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล สตูลยังมีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ น้ำตกธารปลิว อ.ทุ่งหว้า เป็นน้ำตกที่สวยงาม มีสายน้ำพวยพุ่งออกมาจากภูเขาต้นน้ำ ไหลลงบนแอ่งชั้นบนตกลงสู่แอ่งน้ำชั้นล่างและไหลมาบรรจบกันเป็นสายน้ำ

 ด้านลักษณะธรณีวิทยา พบว่า เป็นน้ำตกที่พบในพื้นที่หินปูนยุคออร์โดวิเชียน (อายุประมาณ 470 ล้านปี) เนื้อหินมีสีเทาดำ มีหน้าผาหินปูนขนาดสูง 5 เมตร ยาว 50 เมตร และมีน้ำตกเล็กๆ สูง 1-2 เมตร กระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งเกิดจากการพอกตัวของคราบหินปูนและตะกอนแขวนลอยที่มากับน้ำ ทำให้เกิดลักษณะเป็นแอ่งน้ำคล้ายทำนบลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม รวมถึงมีการแสดงลักษณะการกัดเซาะของน้ำตรงหน้าผาน้ำตกทำให้มีลักษณะเป็นหินย้อยสวยงาม

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ แสงที่ปลายอุโมงค์หรือทางออกของถ้ำเลสเตโกดอน

 

 ส่วนการเดินเท้าเข้าน้ำตกไม่ยาก เพราะมีทางเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าจนไปถึงตัวน้ำตกธารปลิว

 อย่างไรก็ตาม ความหมายของคำว่า อุทยานธรณี ตามที่ยูเนสโกกำหนด หมายถึง พื้นที่หรือขอบเขตที่มีแหล่งซึ่งมีความสำคัญทางวิทยาศาสตร์อย่างน้อย 1 แหล่ง ไม่เฉพาะทางด้านธรณีวิทยา แต่ยังรวมถึงคุณค่าทางโบราณคดี นิเวศวิทยา หรือวัฒนธรรม โดยประเทศต่างๆ สามารถเสนอพื้นที่อุทยานธรณีของประเทศตนเองต่อยูเนสโก เพื่อขอจัดตั้งอุทยานธรณีและเป็นสมาชิกเครือข่ายอุทยานธรณีระดับโลกได้ โดยต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ คือ ต้องมีแหล่งธรณีวิทยาที่มีคุณค่าด้านโบราณคดี นิเวศวิทยา และวัฒนธรรม มีการบริหารจัดการและการอนุรักษ์อย่างมีบูรณาการ และมีการถ่ายทอดความรู้แก่ชุมชน

 สำหรับประเทศไทยคงต้องรอลุ้นอุทยานธรณีสตูลให้เป็นอุทยานโลก หลังจากได้พัฒนาและผลักดันมาเนิ่นนาน จนถึงตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่นานก็จะรู้กันว่า "สตูล" สามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้วงการธรณีวิทยาในระดับโลก

ผ่าพิภพ ‘สตูล’ สันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะลิดีกับกาะหว้าหิน


 

ข่าวล่าสุด

อธิบดีอัยการสอบสวน ลงพื้นที่ประชุม ผบช.ภ.3 สอบเสธ.ทหารเป็นพยานมัด 2 พ่อลูกตระกูลฮุนฯ