เที่ยววิถีใหม่ ชุมชนยั่งยืน
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามแผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวชุมชน ปี 2559-2563
โดย...ปิยนุช ผิวเหลือง
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามแผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวชุมชน ปี 2559-2563 โดยมีเป้าหมายผลักดันการท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชนให้เพิ่มขึ้น 4-8% เกิดการกระจายรายได้ในท้องถิ่นมากขึ้น สร้างสมดุลการพัฒนาทั้งภาคเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ซึ่งมีส่วนในการพัฒนาในแนวทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้จัดแบ่งแหล่งท่องเที่ยวชุมชนออกเป็นคลัสเตอร์ อาทิ คลัสเตอร์มรดกโลกทางวัฒนธรรม (สุโขทัย พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร) เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มน้ำโขง (หนองคาย เลย บึงกาฬ มุกดาหาร นครพนม) เขตพัฒนาการท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนกลาง (พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี อ่างทอง สิงห์บุรี) ในระยะ 3-5 ปี จะมุ่งขยายผลสร้างเครือข่ายความเข้มแข็งให้ชุมชนผ่านเครือข่ายท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่พิเศษ โดยวางเป้าหมายร่วมกับภาคีทั้ง 30 องค์กร มุ่งลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับ 1,500 ตำบล ในปี 2559 และเพิ่มเป็น 2,500 ตำบล ในปี 2560
ขณะที่สำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง หรือ อพท.3 ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายหลักในการดูแลจำนวน 9 แห่ง ประกอบด้วย เมืองพัทยา (ครอบคลุมพื้นที่เกาะล้าน และเกาะไผ่) เทศบาลหนองปรือ เทศบาลตำบลบางละมุง เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย เทศบาลตำบลโป่ง เทศบาลตำบลห้วยใหญ่ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน อบต.หนองปลาไหล และ อบต.เขาไม้แก้ว ได้จัดกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจร ในวันที่ 27-28 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ กลุ่มประมงเทศบาลตำบลบางละมุง และบ้านร้อยเสา ลานวัฒนธรรมบ้านตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ที่จัดรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ควบคู่กับการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน เริ่มจากการเยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมง ต.บางละมุง ที่จัดตั้งขึ้นในปี 2550
ปลดแอกระบบนายทุน
จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่มประมงบ้านชายทะเลบางละมุงนั้น “ธวัชชัย ประคองขวัญ” ประธานกลุ่ม ได้เล่าถึงความเป็นมาว่า เนื่องจากพื้นเพเดิมของคนในหมู่บ้านชายทะเลบางละมุง ที่ตั้งอยู่ใน ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นชุมชนขนาดเล็กริมชายฝั่งทะเลที่ทอดยาวจากโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด มีระยะทางการออกเรือทำประมงประมาณ 8 กิโลเมตร ในอดีตการทำประมงจะเป็นการทำประมงพื้นบ้านที่เป็นเรือขนาดเล็กเพื่อหาเลี้ยงชีพ โดยไม่ได้คำนึงว่าทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเลนั้นจะมีเหลือมากน้อยแค่ไหน กระทั่งชุมชนได้พบว่าทรัพยากรที่ทางชุมชนใช้ดำรงชีพมาเป็นระยะเวลานาน เริ่มมีปริมาณลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ประกอบกับการถูกรุกรานจากเรือนายทุนที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถทำประมงได้เพียงพอกับการดำรงชีพ ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรที่จะให้ทรัพยากรเหล่านี้คงอยู่ เพื่อให้คนในชุมชนสามารถทำประมงเลี้ยงชีพต่อไปได้ อีกทั้งที่ผ่านมาชุมชนประสบกับปัญหาการขาดเงินทุนหมุนเวียน ต้องไปกู้เงินจากนายทุนเพื่อซื้ออวนสำหรับใช้ในการทำประมง แต่เมื่อได้เงินมา เงินเหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกใช้เพื่อต่อยอดสำหรับการทำประมงของชุมชน แต่ต้องนำเงินไปใช้หนี้นายทุน ทำให้ชุมชนประสบปัญหากับสภาพคล่องทางด้านการเงินอย่างต่อเนื่อง เป็นหนี้สินวนเวียนในลักษณะนี้ตลอดมาหลายปี
ด้วยแนวคิดที่ต้องการปลดแอกตัวเองออกจากระบบนายทุน และต้องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่ควบคู่กับชุมชนระยะยาว รวมถึงต้องการพัฒนาให้กลุ่มประมง เป็นชุมชนกลุ่มประมงพื้นบ้านที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ดังนั้นในปี 2543 ทางชุมชนจึงได้จัดตั้งสหกรณ์ขึ้น ด้วยการระดมทุนจากชาวบ้านที่มีเรือประมง เพื่อให้มีเงินทุนสำหรับการกู้หมุนเวียนลงทุนของชาวประมงพื้นบ้าน โดยจัดเก็บเงินเข้าสหกรณ์จำนวน 100 บาท/ลำ/เดือน และต่อมาได้เพิ่มเป็น 200 บาท/ลำ/เดือน ปัจจุบันมีเรือประมงพื้นที่เข้าร่วมสหกรณ์ดังกล่าวราว 30 ลำ ทำให้ทางชุมชนเริ่มมีสภาพคล่องมากขึ้น และในระยะหลังมานี้ ได้มีหน่วยงานของภาครัฐบาลให้ความช่วยเหลือมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการดูแลเรือนายทุนไม่ให้เข้ามาหาผลประโยชน์ในพื้นที่ การให้เงินทุนสำหรับหมุนเวียนในการลงทุนทำประมง เป็นต้น
จากนั้นในปี 2552 ทางกลุ่มประมงได้ร่วมมือกับทาง อพท.3 เพื่อต่อยอดอาชีพการทำประมงพื้นบ้านเข้าสู่การท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้และอนุรักษ์ธรรมชาติ ภายใต้แนวคิดที่ต้องการผลักดันให้บ้านชายทะเลบางละมุงเป็นต้นแบบที่มีศัยกภาพและการเติบโตอย่างมั่นคง และเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้จากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงที่ทางชุมชนมีรายได้จากการทำประมงลดลงในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพ.ย.-ม.ค.ของทุกปี ในส่วนของการอนุรักษ์ทรัพยากรนั้น ทางกลุ่มจึงได้มีการจัดตั้งธนาคารปูม้า เพื่ออนุบาลปูไข่นอกกระดอง เพื่อนำตัวอ่อนกลับปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ รวมถึงการจัดตั้งธนาคารแม่พันธุ์ กุ้งแชบ๊วย การเลี้ยงหอยหวาน และการทำปะการังเทียม เพื่อรักษาสมดุลระบบนิเวศในท้องทะเล
ขณะที่การต่อยอดด้านการท่องเที่ยวเชิงการเรียนรู้นั้น จะจัดเป็นในรูปแบบการท่องเที่ยวแบบจองล่วงหน้า (Booking) ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถโทรศัพท์มาสอบถามข้อมูลกิจกรรมการท่องเที่ยวได้ที่กลุ่มประมง ซึ่งลักษณะการท่องเที่ยวมีแบบแพ็กเกจครึ่งวัน ท่องเที่ยวเรียนรู้สัมผัสวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน ไปเที่ยวเกาะนก ดำน้ำดูปะการังน้ำตื้น หรือจะพายเรือคายัก แล้วกลับมากินอาหารทะเลสดๆ ส่วนแพ็กเกจกลางคืน มีกิจกรรมออกเรือไปตกหมึก ตกปลา นอกจากนี้ยังสามารถพักแรมแคมปิ้งบริเวณชายหาดหรือบนเกาะนก โดยราคาเริ่มต้นที่ 300 บาท/คน
“การจัดกิจกรรมต่างๆ โดยให้นักท่องเที่ยวจองล่วงหน้า เนื่องจากทางชุมชนต้องมีการเตรียมวางแผนรองรับล่วงหน้า เพราะไม่สามารถรับจำนวนนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก โดยหากเป็นการเยี่ยมชมในลักษณะของการเรียนรู้ อาทิ เยี่ยมชมธนาคารปูม้า ที่จัดมาเป็นคณะ อาจจะเป็นกลุ่มนักศึกษา ข้าราชการ ก็จะรองรับได้เพียง 30-50 คนเท่านั้น ส่วนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรมกับทางชุมชนจะมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่พานำเที่ยวเกาะนก การตกหมึก ซึ่งจะคิดค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500 บาท/ลำ บรรจุคนได้ราว 7-8 คน และหมึกที่ตกได้นั้น หากนักท่องเที่ยวต้องการก็สามารถซื้อกลับไปได้ ส่วนบริการตกปลาจะคิดค่าบริการเรือ 6,500 บาท/ลำ ปลาที่ตกได้นักท่องเที่ยวสามารถนำกลับไปได้ หรือจะให้ทางกลุ่มทำอาหารให้ก็ได้ แล้วแต่ความต้องการ”
นอกจากนี้ ทางชุมชนยังเปิดให้บริการด้านอาหารทะเล ซึ่งต้องเป็นบริการจองล่วงหน้า เนื่องจากวัตถุดิบในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยจุดเด่นของอาหารทะเลที่ชุมชนได้จำหน่ายนั้น จะเน้นอาหารทะเลที่อร่อย สด ใหม่ และปราศจากสารเคมี การันตีว่าไม่มีสารดองหรือใส่สารฟอร์มาลีนอย่างแน่นอน อีกทั้งราคาอาหารไม่แพง
ธวัชชัย เล่าต่อว่า หลังจากที่ทางชุมชนได้ร่วมมือกับ อพท.3 ทำให้ความเป็นอยู่ในปัจจุบันดีขึ้น มีสภาพเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น โดยรายได้หลักของชุมชนยังคงเป็นการทำประมงอยู่ 80% หรือมีรายได้ประมาณ 1,000-3,000 บาท/วัน ซึ่งรายได้ส่วนนี้ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นสามารถออกทำประมงได้หรือไม่ และอีก 20% เป็นรายได้ที่มาจากการท่องเที่ยว ซึ่งหากถามว่าจะให้เพิ่มสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ถ้าจะทำก็สามารถทำได้ แต่ทางชุมชนไม่ต้องการที่จะให้เป็นในลักษณะนั้น เพราะต้องการที่จะอนุรักษ์ประมงพื้นบ้านให้อยู่คู่กับชุมชน และต้องการให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ที่รักษาวิถีชีวิตชุมชนให้อยู่ตลอดไป
ชุมชนบ้านร้อยเสา
หลังจากเยี่ยมชมกลุ่มประมงบางละมุง จากนั้นได้ไปชมบ้านร้อยเสา และลานวัฒนธรรมบ้านตะเคียนเตี้ย ซึ่งบ้านร้อยเสาเป็นบ้านแฝดทรงไทยยกใต้ถุนสูง สร้างขึ้นกว่า 80 ปี ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตของคุณยายทรัพย์ และคุณยายสิน ฝาแฝดสองพี่น้อง ซึ่งลูกหลานทั้งสองครอบครัวยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ จุดเด่นคือเป็นบ้านทรงไทยที่หาชมได้ยากในพื้นที่ จ.ชลบุรี ซึ่งตัวบ้านมีเสายกใต้ถุนถึง 102 ต้น แสดงถึงความกว้างและใหญ่ของตัวบ้านที่อาศัยร่วมกันกว่า 20 ชีวิต โดยชั้นบนของตัวบ้านปรับปรุงและตกแต่งให้เป็นพื้นที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ
หนึ่งในนั้นมีสมุดข่อยที่บันทึกตำรายารักษาโรค ตำราโหราศาสตร์ไทย ตำราปีนักษัตรไทย และพื้นที่โดยรอบของตัวบ้าน ครอบคลุมพื้นที่ถึง 6 ไร่ ถูกใช้สอยอย่างเป็นระบบ แบ่งเป็นส่วนของที่อยู่อาศัย ส่วนของสวนปลูกพืชผัก สมุนไพร ที่ไว้ประกอบอาหารในครัวเรือน และแบ่งจำหน่ายบางส่วน อีกทั้งปุ๋ยที่ใช้เป็นปุ๋ยหมักประยุกต์ใช้สิ่งที่มีอยู่รอบตัวให้เกิดประโยชน์ จากการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ เพื่อแยกเศษผัก ผลไม้ และใบไม้ในการทำน้ำหมักชีวภาพ กล่าวได้ว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชีวิตพอเพียงอย่างแท้จริง
นอกจากชมบ้านทรงไทยโบราณ บ้านร้อยเสาแล้วนั้น ยังมีกิจกรรมอื่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยี่ยมชมในพื้นที่ตะเคียนเตี้ย ได้แก่ การสอนทำอาหารและขนมพื้นบ้าน อีกทั้งจัดแสดงลำตัด การแสดงพื้นบ้านของคนในท้องถิ่น โดยได้จัดตารางสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ เป็นโปรแกรมภายใน 1 วัน กับ 6 กิจกรรม คือ ในช่วงเช้ามีกิจกรรมร่วมกันตักบาตรพระสงฆ์ ณ ลานวัฒนธรรมตะเคียนเตี้ย ในช่วงสายพาเยี่ยมชมตัวบ้านร้อยเสาและข้าวของเครื่องใช้ในอดีต หลังจากนั้นในช่วงเวลาเที่ยง ร่วมศึกษาเรียนรู้สวนสมุนไพร เก็บพืชผักสวนครัวประกอบอาหารท้องถิ่น อาทิ แกงไก่กะลา แกงหมูใบชะมวง และต้มระกำไก่ พร้อมรับประทานอาหารเที่ยง รับรองความอร่อยในทุกเมนู
เมื่อรับประทานของคาวแล้วนั้น ของหวานจะขาดได้อย่างไร กิจกรรมในช่วงบ่ายจึงเป็นการสอนทำวุ้นกะทิ และพับดอกไม้ใบเตย เรียกได้ว่าทั้งอิ่มอร่อย และมีสูตรขนมนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจของตัวเองได้เช่นกัน และกิจกรรมในช่วงเย็น พบกับการเรียนรู้ “กัวซา” วิถีการรักษาโรคแบบชาวบ้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาแพทย์พื้นบ้านที่ตกทอดตั้งแต่สมัยจีนโบราณในลักษณะขูดผิวหนังเพื่อขับพิษ ที่ใช้บำบัดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และโรคจากความเครียดต่างๆ และกิจกรรมปิดท้ายด้วยการรับชมลำตัด การแสดงพื้นบ้านโดยคณะลำตัดแม่ละมุล ที่มีจุดเด่นคือการนำเยาวชนในท้องถิ่นมาฝึกแสดงให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อสืบทอดการแสดงพื้นบ้านให้ยั่งยืน
เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน
ธิติ จันทร์แต่งผล รักษาการผู้จัดการพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง (อพท.3) กล่าวว่า วัตถุประสงค์ที่ทาง อพท.3 ได้เข้ามาส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มประมงเทศบาลตำบลบางละมุงนั้น เป็นส่วนหนึ่งของแผนในการยกระดับการบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เพื่อก่อให้เกิดรายได้กับชุมชน โดยไม่ทำลายวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของชุมชนที่ดีงาม และเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพร้อมๆ กัน และมีการเชื่อมโยงเครือข่ายในพื้นที่ชุมชนนั้นๆ เพื่อให้เป็นการท่องเที่ยวแบบครบวงจร
ที่ผ่านมา อพท.3 ได้รุกทำกิจกรรมลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลในเชิงรูปธรรมสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่ อธิบายความเป็นมาของโครงการและเชิญชวนให้ชุมชนเทศบาลตำบลบางละมุงเข้าร่วมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ ในพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ทุกวันนี้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้ อีกทั้งมีกำลังรักษาทรัพยากรในท้องถิ่นไม่ให้หมดไป ที่เล็งเห็นถึงกิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ทั้ง 3 กลุ่ม ทั้งในกลุ่มประมงบางละมุง โดยกิจกรรมการเรียนรู้เลี้ยงหอยแมลงภู่ การวางอวนปู การถักจั่นดักปู และกิจกรรมตกหมึกในช่วงกลางคืน กลุ่มแม่บ้านเทศบาลตำบลบางละมุง ที่นอกเหนือจากการบริการด้านอาหารให้กับนักท่องเที่ยว ยังสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเพื่อการจัดจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว และการจำหน่ายอาหารแปรรูปของชุมชน รวมถึงกลุ่มอาชีพสตรี เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย ที่นอกเหนือจากกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมชุมชน ยังให้บริการที่พักแบบโฮมสเตย์แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการเปลี่ยนแนวและพักในราคาประหยัด
นอกจากนี้ กิจกรรมล่าสุดที่ อพท.ได้จัดทำขึ้น คือ แอพพลิเคชั่น SMART PATTAYA ที่สนับสนุนการท่องเที่ยวในพัทยาและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้นักท่องเที่ยวค้นหาแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และบริการต่างๆ ในพื้นที่เป้าหมายทั้ง 9 แห่ง เพื่อรองรับการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา ซึ่งในขณะนี้มีจำนวนประมาณ 9-10 ล้านคน/ปี ซึ่งแอพพลิเคชั่นดังกล่าวจะแสดงรายละเอียดของสถานที่ พร้อมเสียงบรรยาย ที่มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน และรัสเซีย ที่จะดังขึ้นอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่พื้นที่ท่องเที่ยวนั้นๆ ช่วยแก้ปัญหาการหลงทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็กเกอร์ที่เดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น
โดยสามารถเลือกเส้นทางแนะนำหรือเส้นทางท่องเที่ยวที่ผู้ใช้สามารถกำหนดได้เอง ซึ่งมีรายละเอียดแผนที่และรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยวกำกับไว้ และสิ่งสำคัญ สามารถใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ตโดยการดาวน์โหลดแผนที่และข้อมูลไว้บนเครื่อง กล่าวได้ว่าในพื้นที่ท่องเที่ยวพิเศษทั้ง 9 แห่งจะเชื่อมโยงกันทุกจุดในแอพพลิเคชั่นเดียว ครอบคลุมทั้งการท่องเที่ยวแบบมวลชนในพื้นที่เมืองพัทยา และการท่องเที่ยวแนวใหม่เชิงอนุรักษ์ เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่ให้ประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวอย่างครบรส
ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างคลัสเตอร์ท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน ที่สามารถพลิกฟื้นจากปัญหาในอดีต สู่แนวทางสร้างรายได้อย่างยั่งยืน และเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวหลักเพื่อความยั่งยืนยิ่งขึ้นไป


