แสงภาปะทะอาฮี แห่ต้นดอกไม้ ราตรีถึงทิพา
ความเชื่อเดียวกัน ประเพณีเดียวกัน แต่พิธีกรรมอาจต่างกัน อย่างประเพณีแห่ต้นดอกไม้
โดย...กาญจน์ อายุ
ความเชื่อเดียวกัน ประเพณีเดียวกัน แต่พิธีกรรมอาจต่างกัน อย่างประเพณีแห่ต้นดอกไม้ระหว่างบ้านแสงภา อ. นาแห้ว และบ้านอาฮี อ.ท่าลี่ จ.เลย ทั้งสองอำเภอมีพรมแดนติดแม่น้ำโขง และอยู่ตรงข้ามแขวงไซยะบุรี ประเทศลาว แต่อยู่ห่างกันราว 80 กม. โดยมีด่านซ้ายและภูเรือกั้นกลาง จึงเกิดคำถามว่า ทำไมสงกรานต์ที่ผ่านมาทั้งสองบ้าน “แห่ต้นดอกไม้” เหมือนกัน
อันที่จริงต้องใช้คำว่า คล้ายกัน จะถูกต้องกว่า เพราะมีหลายประการที่ทำให้ประเพณีแห่ต้นดอกไม้ของบ้านแสงภาและบ้านอาฮีต่างกัน หนึ่ง บ้านแสงภาแห่กลางคืน แต่บ้านอาฮีแห่กลางวัน สอง บ้านแสงภาแห่ต้นยักษ์ แต่บ้านอาฮีแห่ต้นเล็ก สาม บ้านแสงภาแห่ในวัด แต่บ้านอาฮีแห่ในหมู่บ้าน และสี่ บ้านแสงภาแห่ 13 เม.ย. แต่บ้านอาฮีแห่หลังจากนั้น 1 วัน
ต้นเหตุของประเพณีคือ ความเชื่อที่ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองบ้านจะมีความเชื่อเหมือนกัน นั่นคือ ชาวบ้านจะช่วยกันทำต้นดอกไม้ให้เสร็จภายในหนึ่งวัน เพื่อนำไปถวายเป็นพุทธบูชาเนื่องในวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย โดยโครงสร้างของต้นดอกไม้มีลักษณะเหมือนกัน ทำจากไม้ไผ่ ประดับด้วยดอกไม้ฤดูร้อน เช่น ดอกคูน ดอกตะแบก ดอกหางนกยูง ด้านล่างเป็นลำไผ่อันใหญ่ยื่นออกมาสี่ด้านไว้สำหรับโยกแห่
‘นี่ไม่ใช่ความบังเอิญ’
เพราะเมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อ 400 ปีก่อนตามประวัติการแห่ต้นดอกไม้ของบ้านแสงภา อาจสันนิษฐานได้ว่าทั้งสองบ้านมีบรรพบุรุษเดียวกัน อาจเป็นคนลาวไซยะบุรี เพราะในอดีตไซยะบุรีคือส่วนหนึ่งของประเทศไทย ก่อนเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสและกลับไปเป็นของลาวในที่สุด ทว่าความเชื่อของผู้คนไม่ได้ถูกแบ่งไปด้วยอย่างประเพณีแห่ต้นดอกไม้ก็ยังปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน
ส่วนเรื่องเวลาแห่ที่บ้านแสงภาแห่กลางวันและบ้านอาฮีแห่กลางคืนนั้น สามารถตอบได้โดยอิงจากขนาดและเงื่อนไขที่ว่า ต้องสร้างให้เสร็จภายในหนึ่งวัน บ้านแสงภาทำต้นดอกไม้สูงถึง15 เมตร จึงต้องใช้เวลาทำนานกว่า ครั้นจะทำให้เสร็จภายในเที่ยงวันคงเป็นไปได้ยาก
ประเพณีแห่ต้นดอกไม้ของสองบ้านจึงมีเอกลักษณ์ประจำถิ่น ซึ่งไม่ทราบว่าด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจที่ทำให้แต่ละบ้านจัดคนละวัน โดยบ้านแสงภาจัดขึ้นทุกวันที่ 13 เม.ย. ส่วนบ้านอาฮี จัดวันที่ 14 เม.ย. ของทุกปี
แห่ราตรี บ้านแสงภา
วันที่ 13 เม.ย. ชาวบ้านเรียกว่า วันเนา เป็นวันที่ต้องพูดแต่สิ่งดี ห้ามทำความสะอาดบ้าน ห้ามซักผ้า และห้ามเด็ดดอกไม้ ดังนั้นวัตถุดิบสำหรับต้นดอกไม้จะถูกตระเตรียมไว้ก่อนแล้ว ทั้งไม้ไผ่และดอกไม้หลากสีถูกเด็ดมากองรวมกันเพื่อรอวันสำคัญ รุ่งเช้าแต่ละหมู่จะครึกครื้นตั้งแต่ฟ้าสาง ชาวบ้านผู้ชายจะมารวมกันเพื่อขึ้นโครงอันใหญ่โต โดยใช้กำลังพลไม่ต่ำกว่า 10 คนทั้งปีน ป่าย ก้ม เงย ช่วยกันจนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นช่วงบ่ายแก่เหล่าแม่บ้านและผู้หญิงจะมาช่วยกันติดดอกไม้ให้เต็มทุกกระเบียดห้ามเหลือช่องว่าง และทุกอย่างต้องเสร็จสิ้นให้พอดีกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์
เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน ชายชาตรีจะช่วยกันเคลื่อนต้นดอกไม้ไปยังวัดศรีโพธิ์ชัย ลำดับแรกจะนำไปวางรวมกันข้างพระอุโบสถเพื่อให้ชาวบ้านทั้งหญิงชายช่วยกันจุดเทียนพร้อมเพรียงกันสวดคำถวายต้นดอกไม้แด่พระภิกษุและเมื่อท้องฟ้ามืดสนิทเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนา เสียงกลองยาวก็ตีลั่นเป็นสัญญาณบอกกล่าวว่าถึงเวลาร่ายรำ
ลีลาของต้นดอกไม้แต่ละต้นจะเคลื่อนไหวตามจังหวะโยกของคนแห่ ซ้ายที ขวาที พวงดอกไม้ส่ายสะบัดกลางอากาศ และเปลวเทียนก็ปลิวระยับแต่ไม่ยักดับตามแรงลม โดยจะแห่รอบพระอุโบสถสามรอบ แต่ละรอบใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 นาที ค่อยๆ แห่ ค่อยๆ โยกกันไปตามจังหวะกลองยาว เมื่อสิ้นสุดรอบที่สาม ต้นดอกไม้จะถูกวางไว้ข้างพระอุโบสถไปจนถึงวันพระถัดไป โดยชาวบ้านจะกลับมา
ช่วยกันประดับดอกไม้ให้สดสวยอีกครั้งและแห่รอบพระอุโบสถอีกหนเพื่อความเป็นสิริมงคลสูงสุดในเดือนเริ่มต้นปีใหม่นี้
แห่ทิพา บ้านอาฮี
รุ่งเช้าวันที่ 14 เม.ย. ชาวบ้านอาฮีจะเด็ดดอกไม้มาประดับต้นดอกไม้ประจำหมู่ของตน จนถึงราวเที่ยงวันชาวบ้านจะยกต้นดอกไม้มารวมกันที่วัดเมืองตูม จุดเริ่มต้นของขบวนอยู่ที่นี่เพื่อตั้งแถวแห่ไปยังวัดศิริมงคลที่ห่างออกไปประมาณ 3 กม. ระหว่างทางจะผ่านหมู่บ้าน ซึ่งแต่ละบ้านจะมีตุ่ม มีสายยาง เมื่อขบวนแห่ต้นดอกไม้ผ่านจะถูกกระหน่ำสาดเปียกซ้ำเปียกซ้อนพลอยคลายความร้อนจากถนนลาดยางและลดอุณหภูมิจากพระอาทิตย์เที่ยงวันลงได้บ้าง
เมื่อเข้าเขตวัดศิริมงคล แต่ละขบวนจะแห่รอบพระอุโบสถสามรอบเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา โดยขณะนั้นชาวบ้านจะละขันละสายยางแล้วพาร่างกายเปียกโชกเข้าไปกราบพระประธานในพระอุโบสถตามธรรมเนียมปฏิบัติ สิริเวลาตั้งแต่เริ่มตอนบ่ายโมงไปสิ้นสุดที่วัดศิริมงคลประมาณสี่โมงเย็น ต้นดอกไม้จะวางไว้ให้คนมาวัดได้ซิดน้ำ จนถึงวันที่ดอกไม้แห้งเหี่ยวไปตามธรรมชาติซึ่งก็จะผ่านพ้นช่วงสงกรานต์ไปพอดี
ประเพณีแห่ต้นดอกไม้บ่งบอกถึงตัวตนของชาวอีสานได้ชัดเจน ทั้งสนุก มีสีสัน มีเสียงเพลง และเต็มไปด้วยศรัทธาอันแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนาตามครรลองฮีตสิบสองคองสิบสี่ เม.ย. คือ บุญเดือนห้าหรือบุญสงกรานต์ ที่ชาวอีสานจะทำบุญขึ้นปีใหม่สร้างความเป็นสิริมงคลแก่ตัวก่อนเข้าสู่ฤดูทำนาในเดือน พ.ค. อันเป็นวิถีที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยปีลูกอีสานก็ไม่มีวันลืม


