posttoday

ชวนเที่ยวแบบอนุรักษนิยม

22 เมษายน 2559

ผมเที่ยวไปหาเรื่องไป ครั้งนี้ผมรู้ล่วงหน้าว่า คนที่ชอบเที่ยวแบบกระแสนิยมต้องอยากฆ่าผม เพราะมาจากที่ผมกำลังจะพาเที่ยว กิน ย่านเก่าที่จันทบุรี

โดย...สุธน สุขพิศิษฐ์

ผมเที่ยวไปหาเรื่องไป ครั้งนี้ผมรู้ล่วงหน้าว่า คนที่ชอบเที่ยวแบบกระแสนิยมต้องอยากฆ่าผม เพราะมาจากที่ผมกำลังจะพาเที่ยว กิน ย่านเก่าที่จันทบุรี หรือย่านท่าหลวงริมแม่น้ำจันทบูรในครั้งนี้ ซึ่งการท่องเที่ยวย่านเก่าๆ ตามแบบของผมนั้นคงต้องขัดใจหลายๆ คน

ที่ย่านท่าหลวงแห่งนี้ผมขอร้องนักท่องเที่ยวแบบกระแสนิยมว่า ถ้าคิดว่าวันหนึ่งต้องไปเที่ยวที่นั่น เหมือนกับคนอื่นๆ เหมือนกับที่เคยไปเที่ยวอัมพวา ปาย เชียงคาน วังเวียง อย่าไปเลยครับ จะทำให้ที่นั่นเสียของเปล่าๆ

ภูมิหลังของย่านท่าหลวงนี้มีอายุมากว่า 100 ปีขึ้น มีความสำคัญมาก ทำเลอยู่ริมแม่น้ำ ในสมัยก่อนเรือสินค้าจากจีนวิ่งอ้อมเวียดนามมาจอดซื้อสินค้าของที่นี่ ที่เขาต้องการมีของป่า เครื่องเทศหลายๆ อย่าง ที่ดีที่สุดเป็นลูกกระวาน จีนเขาซื้อไปไว้สำหรับขายต่อให้กับเรือยุโรปที่ไปซื้อของที่จีน ตอนมาก็เอาถ้วยโถโอชามจากจีนมาขาย เรือจากกรุงเทพฯ จากท่าน้ำราชวงศ์ ไปซื้อของจันทบูรอื่นๆ เอาข้าว เกลือ ไปขาย คนที่ลงมาจากภูเขาก็เรียกว่าเป็นย่านการค้าที่คึกคัก เงินสะพัด รูปแบบของอาคารร้านค้า ที่อยู่อาศัยจึงรุ่งเรืองทันสมัย ประวัติศาสตร์ชุมชนเขาเป็นอย่างนี้

ที่นี่ระยะเวลาเหตุการณ์เปลี่ยนย่านธุรกิจการค้าเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น ย่านท่าหลวงจึงเป็นที่เงียบๆ เหมือนย่านเก่าทั่วไป มาถึงปัจจุบันกระแสความนิยมเที่ยวย่านเก่ามาแรง ชาวชุมชนของย่านท่าหลวงซึ่งมีความเข้มแข็งและฉลาด รู้ว่าอนาคตตรงนี้ต้องเป็นแหล่งท่องเที่ยวแน่ เผอิญก็มีสถาบันอาศรมศิลป์ ที่สอนสถาปัตยกรรมระดับปริญญาโท ที่เข้าไปศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวิถีชีวิตชุมชน เมื่อได้จับมือกันกับชุมชนก็มองรูปแบบและวางทิศทางในอนาคตว่าต้องเป็นแบบ “วัฒนธรรมนำหน้าธุรกิจ” เลยทำเป็นโครงการตัวอย่างที่เป็นที่พักหรือกึ่งโรงแรมเป็นแม่แบบขึ้น ที่โชคดีได้อาคารเก่าของหลวงราชไมตรี ซึ่งตกทอดมาถึงทายาทรุ่นที่ 3 แล้ว ที่ยินดีให้ใช้อาคารเก่านี้ โดยคิดค่าเช่าปีละ 10 บาท สัญญาเช่า 30 ปี ทางชุมชนก็ตั้งเป็นรูปบริษัท ชื่อ รักษ์จันทน์ ระดมหุ้นขึ้นขาย คนในชุมชนนั่นเองที่ซื้อ ได้เงินพอสำหรับทำเป็นโรงแรมหลวงราชไมตรีขึ้น และวางนโยบายว่าถ้ามีผลกำไร แบ่งเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น แบ่งให้กับชุมชน และเป็นทุนสำรองการบำรุงรักษาโรงแรม

การออกแบบบูรณะอาคารเก่ามาเป็นโรงแรมนั้น ถือว่าสถาปนิกทำได้ดีเยี่ยม ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาอาคารเก่าที่มีโครงสร้างเบามาใช้งานหนัก วางประโยชน์ใช้สอยใหม่ การซ่อนคอมเพรสเซอร์แอร์ วางระบบห้องน้ำ ห้องส้วม งานตกแต่งก็ทำได้เนียน เช่น หลังคาโถงชั้นล่างที่เป็นสังกะสี กันสาดของเดิมเก็บเอาไว้ ทำระแนงใต้หลังคาเหมือนฝ้า ให้ดูลดความกระด้างของสังกะสี ตรงผนังเคาน์เตอร์บริการ กะเทาะผิวปูนเดิมออกให้เห็นอิฐเปลือย ก็เอาเป็นว่าคนไปพักอยู่สบาย ในบรรยากาศโบราณเก่าแก่

ที่ดีอีกอย่างโรงแรมเขาไม่บริการอาหารมื้ออื่นๆ นอกจากอาหารเช้า เพราะต้องการให้คนพักได้ออกไปรู้จักชุมชน ได้กินอาหารของชุมชน ซึ่งมีเยอะมาก ผมจะแนะนำอย่างนี้ครับ เยื้องกับโรงแรมมีก๋วยเตี๋ยวขายตั้งแต่เช้า เป็นก๋วยเตี๋ยวขาหมู เย็นตาโฟ กวยจั๊บ อร่อย มีบรรยากาศเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวในห้องแถวไม้ ฝั่งตรงข้ามมีแผงลอยขายขนมจาก ที่ตัวไส้ขนมจากนั้นมีเนื้อมีหนัง ไม่แบนแต๊ดแต๋เหมือนขนมจากปากน้ำ  แถม 5 บาทเท่านั้น เลยไปนิดเดียวเป็นร้านไอศกรีมขายส่ง มีหลายอย่าง นั่งกินก็ได้ ที่เด็ดอีกอย่างตรงข้ามกับโรงแรมหลวงราชไมตรี แต่ต้องวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้น มีอาหารตามสั่ง ชื่อก๋วยเตี๋ยวยายลั้ง ต้องกินก๋วยเตี๋ยวผัดน้ำกุ้ง คือเอาเส้นผัดกับผักก่อนใส่จานไว้ ลวกกุ้งสับ เอาเนื้อกุ้งโปะหน้าก๋วยเตี๋ยว แล้วผัดน้ำกุ้งปรุงรสราดบนเส้น โรยกระเทียมเจียว ต้องกินครับ ถูกอีกต่างหาก

เดินออกไปไกลหน่อยมีร้านขนมไทยโบราณแม่กิมเซีย ขนมไทย เช่น ขนมเสน่ห์จันทร์ จ่ามงกุฎ ที่หากินยากมาก ส่วนมื้อเย็นก็เดินขึ้นตรงถนนข้างศาลเจ้าเยื้องโรงแรม ถึงถนนใหญ่แล้วเลี้ยวซ้ายเป็นร้านจันทร ต้องกินปูนิ่มผัดพริกไทยดำ น้ำพริกไข่ปู แกงหมูชะมวง แค่บริเวณรอบๆ นั้นก็กินคุ้มแล้ว

มาถึงเรื่องที่ผมไม่อยากให้คนเที่ยวตามกระแสไปครับ คนเที่ยวแบบนั้นส่วนใหญ่แค่ขอเพียงไปที่นั่น ไปเดินถ่ายรูปชูสองนิ้ว กระโดดตัวลอยค้างกล้อง เอาวิวตึกเก่าเป็นฉาก ไม่รู้หรอกว่าไปดูอะไร ได้ความรู้อะไรจากที่นั่น พอไปเยอะๆ ผู้ประกอบการจากที่อื่นก็ไปมาก ชุมชนเข้มแข็งอย่างไรก็เอาไม่อยู่ เมื่อไปกันมาก รูปแบบโรงแรม การบริการ ก็คิดกันไปเลยเถิด ออกแบบหน้าตาโรงแรมให้เตะตาเข้าไว้ มีวงดนตรีสดเล่นริมระเบียง ทำร้านกาแฟหน้าตาประหลาดๆ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีเงินแต่สมองกลวง เรื่องการทำอะไรให้กลมกลืนกับย่านนั้นคิดไม่เป็น เหมือนเอาย่านเก่าเป็นสะพานไปสู่ธุรกิจ บางคนยังเรียกอีกว่าเป็นเชียงคานตะวันออก หนักเข้าไปใหญ่ ที่ผ่านมาหลายๆ ที่หายนะ ฉิบหาย ก็เพราะผู้ประกอบการบางคน

สื่อสิ่งพิมพ์ชวนเที่ยวก็เหมือนกัน ชอบปั้นคำชวนเที่ยวโดยไม่คิดเผื่อวันหลังว่าจะมีอะไรตามมา ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนเขียนเชียร์เมืองปายว่า “ตื่นเช้าเพราะไอหมอกเข้ามาปลุกให้ตื่น เมื่อคืนยังฝันว่ามีหมอนเป็นก้อนเมฆ” “ไปเชียงคานเหมือนไปสลัดเชื้อโรคในหัวใจทิ้ง” ไปหลีเป๊ะก็เขียนว่า “อยากเป็นนางเงือกจะได้ว่ายน้ำทั้งวัน” ที่วังเวียงก็เขียนว่า “ต้องรีบไป เพราะยังดิบๆ อยู่” (พอมันสุกงอม ร่วงเน่าแล้ว ก็ไปหาที่ดิบๆ ที่อื่นต่อไป อันนี้ผมช่วยเติมให้ครับ) สื่อเลิกสร้างความฝันให้คนไปเที่ยว วิธีเที่ยวที่ไม่ได้ความรู้ เลิกเถอะครับ

ที่ผมขึ้นต้นว่าเรื่องนี้ ต้องคนอยากฆ่าผม ก็เป็นอย่างนี้ครับ

ข่าวล่าสุด

คิม จอง อึน กำกับดูแลการซ้อมยิงขีปนาวุธร่อนของเกาหลีเหนือ