ชีวิตสุโข ณ สุโขทัย
เสียงกัปตันรายงานสภาพอากาศเช่นปกติ วันนี้อากาศดี อีก 30 นาทีจะถึงท่าอากาศยานสุโขทัย แต่ที่ทำให้สะดุด
โดย...กาญจน์ อายุ
เสียงกัปตันรายงานสภาพอากาศเช่นปกติ วันนี้อากาศดี อีก 30 นาทีจะถึงท่าอากาศยานสุโขทัย แต่ที่ทำให้สะดุด “ขณะนี้อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 0 องศาเซลเซียส ส่วนอุณหภูมิที่สุโขทัยได้รับรายงานว่าอยู่ที่37 องศาฯ”
สุโขทัยอากาศร้อนจัดและแล้งจัดเหมือนจังหวัดอื่น ยืนยันได้ทันทีหลังประตูเครื่องเปิดลมร้อนของฤดูแล้งปะทะหน้าผสมกลิ่นคอกควายข้างรันเวย์ นั่นคือคำต้อนรับอันแสนอบอุ่นของสนามบินสุโขทัย
ด้วยสนามบินแห่งนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นสนามบินเอกชนของบริษัท การบินกรุงเทพ (บางกอกแอร์เวย์ส) มีสวนสัตว์ มีโครงการเกษตรอินทรีย์ และมีพิพิธภัณฑ์ขนาดมหึมา เปิดเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้
เก็บไข่ ปลูกข้าว ดำนา
ถ้าลงเครื่องบินไฟลต์เช้าจะถึงสนามบินสุโขทัยประมาณ 8 โมง เป็นเวลาเหมาะเจาะที่จะเที่ยวในโครงการเกษตรอินทรีย์ก่อนเข้าเมือง โดยทางโครงการมีโปรแกรมให้เที่ยวแบบฮาล์ฟเดย์ราคาคนละ 900 บาท รวมอาหารกลางวัน
เริ่มที่ทุกคนต้องแปลงกายเป็นชาวนา เปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เป็นชุดหม้อห้อม หรือม่อฮ่อมใส่หมวกงอบ รองเท้าบู้ต แล้วขึ้นรถราง (แต่ไม่มีราง) ไปยังสถานีแรกที่เล้าเป็ด เจ้าหน้าที่เล่าว่า เป็ดที่เลี้ยงเป็นเป็ดพันธุ์ตัวเมีย ให้ความหมายตรงตัวว่า เป็ดทุกตัวคือตัวเมียไม่ต้องผสมพันธุ์ (เจ้าหน้าที่ใช้คำว่า ทับกัน) แต่สามารถออกไข่ทุกวัน และไข่ที่ได้จะไม่ฟักเป็นตัว ซึ่งถ้าไม่บอกก็คงไม่ทราบว่าเป็ดเหล่านี้พิเศษ เพราะภายนอกมันคือเป็ด แต่ภายในกลับเป็นในสิ่งที่มนุษย์อยากให้เป็น
หลังจากมองพิจารณาอยู่สักพักก็รำลึกได้ว่าต้องเก็บไข่ใส่ชะลอม เก็บไปก็เกรงใจเจ้าของไข่ไป เพราะเป็ดตัวเมียทั้งหลายยังยืนจ้องอยู่ข้างๆ จากนั้นขึ้นรถรางไปต่อที่สถานีโรงสีข้าว โดยระหว่างทางเจ้าหน้าที่ได้ร้อยเรื่องราวถึงนาข้าวสองข้างทาง
ย้อนกลับไปสมัยอดีต ชาวสุโขทัยมีแม่น้ำยมเป็นสายเลือดใหญ่ เป็นอู่ข้าวอู่น้ำอุดมสมบูรณ์ ผิดกับปัจจุบันที่ไม่เป็นทั้งอู่ข้าวและอู่น้ำสืบเนื่องจากภัยแล้งที่ทุกจังหวัดเจอ ทั้งยังรณรงค์ให้ปลูกใบยาสูบเพราะเป็นพืชใช้น้ำน้อย เพื่อหาอาชีพให้ชาวนาที่ไม่สามารถปลูกข้าวได้ สำหรับโครงการเกษตรอินทรีย์ มีการทำบ่อกักเก็บน้ำของตัวเอง ปลูกข้าวแดง ข้าวดำ ข้าวขาวเก็บเกี่ยวเอง ส่งเข้าโรงสี และบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์ขายที่โครงการ
ขั้นตอนที่น่าทึ่งคงจะเป็นการคัดข้าวด้วยมือ คัดเมล็ดต่อเมล็ดเพื่อแยกเกรดข้าวเหมือนคนจันท์คัดอัญมณี คุณป้าที่กำลังตวัดมือเป็นระวิงเล่าว่า จริงๆ แล้วขั้นตอนนี้มีเครื่องจักรทำได้ แต่การคัดด้วยมือคนจะดีที่สุด เพราะจะได้มองข้าวทุกเมล็ด คัดด้วยความคิดที่ชำนาญ และยังเป็นการสร้างงานให้ชาวบ้าน อีกด้านหนึ่งในสายตาของผู้บริโภค เมื่อเห็นกระบวนการที่ละเอียดยิบขนาดนี้ พลันคิดไปถึงข้าวกลางวันที่คงอร่อยกว่าเดิมและคงกินเรียบไม่ให้เหลือข้าวสักเม็ด
หลังจากสถานีข้าว นั่งรถรางไปต่อที่สถานีผัก ในพื้นที่ 4,000 ไร่ มีสวนเกษตรแบบผสมผสานหลายชนิด ทั้งกล้วย แก้วมังกร มะยงชิด มะม่วง รวมถึงผักสวนครัว นักท่องเที่ยวจะได้ไปดูที่แปลงผักสาธิตเพื่อเรียนรู้การทำเกษตรแบบอินทรีย์ ไปเก็บผักที่มีหนอนไช และไปชิมผักสดๆ แข่งกับนก เพราะนั่นคือตัวบ่งชี้ว่าไม่มีสารพิษ
เมื่ออิ่ม เอ้ย... เมื่อได้รับความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์เสร็จ รถรางจะนำไปส่งที่คอกควาย ควายทุกตัวถูกไถ่ชีวิตมา ทุกตัวเป็นควายเผือก และทุกตัวปลอดภัยที่นี่ พวกมันถือว่าเป็นเจ้าถิ่นก่อนสัตว์ประเภทอื่น ทั้งม้าลาย ยีราฟ สิงโต อัลปาก้า ลิง นก จิ้งจอก ที่ตามมาในภายหลัง ตอนนี้สนามบินสุโขทัยกลายเป็นสวนสัตว์ดุสิตของจังหวัด ทุกวันจะมีเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา รวมถึงคนทั่วไปสามารถเข้ามาชมสวนสัตว์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
จากนั้นรถรางจะนำไปส่งที่จุดสุดท้ายที่แปลงนาสาธิต เวลานี้ชุดหม้อห้อม งอบ และรองเท้าบู๊ตจะถูกใช้งานอย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่ (ชาวนามืออาชีพ) จะแจกต้นข้าวอ่อนคนละกำ พร้อมบอกกติกาว่าให้แต่ละคนปลูกเป็นสามแถว ปักเป็นแนวตอนลึก ให้ห่างกันต้นละ 2 นิ้ว วิธีปลูกก็แสนง่ายเพียงใช้หัวแม่โป้งดันรากลงไปในดินพยายามให้ต้นตั้งตรงก็เป็นอันเสร็จ
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยาก คือ อุณหภูมิที่ร้อนจัด เพราะแม้ว่าตั้งแต่ข้อเท้าลงไปจะอยู่ในดินเหนียวแต่ความเย็นระดับนั้นไม่ได้ช่วยอะไร ลักษณะท่าทางที่ต้องก้มๆ เงยๆ ตลอดเวลาซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนที่เป็นความดันได้ง่ายนัก และจำนวนข้าว เพราะการปักลงไป 100 ครั้ง กินพื้นที่เพียงน้อยนิดกว่าจะครบ 1 ไร่ 10 ไร่ หรือ 100 ไร่ คงต้องใช้การปลูกนับครั้งไม่ถ้วน
และก็เป็นอย่างที่คิด อาหารกลางวันริมทุ่งนาในวันนั้นอร่อยที่สุดในชีวิต และเป็นการกินข้าวอย่างรู้คุณค่ามากที่สุดในชีวิตเช่นกัน
ปั่นสองล้อท่องเมืองเก่า
การมาเยือนราชธานีเก่าของประเทศไทยต้องปั่นจักรยานชม “โบราณสถาน” ไม่จำเป็นต้องหิ้วจักรยานมา ร้านเช่าจักรยานมีให้บริการอยู่หน้าทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ค่าเช่าคันละ 30 บาท ถ้าต้องการไกด์บรรยายต้องติดต่อกับอุทยานล่วงหน้า (โทร.055-697-310)
ไกด์เล่าให้ฟังว่า ราชธานีแห่งนี้อายุราว 700 ปีทว่ายังเหลือสถาปัตยกรรมที่สร้างจากศิลาแลง อิฐ และปูน เอกลักษณ์สำคัญของสถาปัตยกรรมสมัยสุโขทัย คือ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ มีให้เห็นเกือบทุกวัดในบริเวณดังกล่าว
การปั่นจักรยานชมโบราณสถานถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะภายในอุทยานมีถนนอย่างดีและค่อนข้างร่มรื่นใต้ต้นไม้ใหญ่ และสามารถเก็บได้หลายจุด ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีพระราชวังและวัด 26 แห่ง จุดสำคัญ ได้แก่ วัดมหาธาตุ วัดศรีสวาย วัดชนะสงคราม วัดช้างล้อมและปิดท้ายที่พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ไกด์ยังกล่าวด้วยว่า เหตุที่สถาปัตยกรรมต่างๆ ยังค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นเพราะสมัยสุโขทัยไม่ค่อยมีศึกสงคราม บ้านเมืองอยู่ดีมีสุข ผู้คนจึงสร้างวัดถวายมากมาย จนกระทั่งมีการย้ายราชธานีและเปลี่ยนเป็นรัชสมัยกรุงศรีอยุธยา ความสำคัญของเมืองสุโขทัยก็ลดลง ทว่าได้รับความสำคัญอีกครั้งในฐานะเมืองอนุรักษ์ โดยในปี 2534 อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร ได้จดทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร โดยองค์การยูเนสโก
นอกจากนี้ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดงานสงกรานต์ภายใต้เแนวคิด “สงกรานต์สุโขทัย เที่ยวได้ครึ่งเดือน” ใน 8 พื้นที่ ระหว่างวันที่ 7-19 เม.ย. 2559 ได้แก่ วัดหาดเสี้ยว อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย ทะเลหลวง วัดสว่างอารมณ์วรวิหาร วัดศรีชุม อนุสาวรีย์เจ้าหมื่นด้ง ริมเขื่อนริมแม่น้ำยมและอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ซึ่งในอุทยานจะจัดงานย้อนอดีตมหาสงกรานต์กรุงสุโขทัย ระหว่างวันที่ 12-14 เม.ย. 2559 มีการแข่งขันก่อเจดีย์ทราย ขบวนแห่ล้อเกวียนโบราณ การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน การละเล่นพื้นเมือง และร้านจำหน่ายอาหารโบราณ นอกจากนี้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ อุทยานจะเปิดไฟในโบราณสถานตั้งแต่เวลา 19.00-21.00 น.ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เห็นภาพสุโขทัยสมัยรุ่งเรืองมากที่สุดในกาลปัจจุบัน


