กัลปพฤกษ์เรืองแสง วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว
หลังอุโบสถวัดสิรินธรวรารามภูพร้าวมีต้นไม้ที่มองไม่เห็นเวลากลางวัน แต่จะปรากฏชัดเวลากลางคืนขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน
โดย...แรมสองค่ำ
หลังอุโบสถวัดสิรินธรวรารามภูพร้าวมีต้นไม้ที่มองไม่เห็นเวลากลางวัน แต่จะปรากฏชัดเวลากลางคืนขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน พุทธศาสนิกชนเพิ่งเดินทางมาถึงวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เพื่อมาชมความงามของพุทธศิลป์ โดยเฉพาะต้นกัลปพฤกษ์“เรืองแสง” ที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถที่ทำให้วัดสิรินธรวรารามภูพร้าวเป็นที่รู้จัก แต่ในเรื่องที่มาที่ไปหรือความหมายยังไม่มีข้อมูลมากนักซึ่งเบื้องหลังนั้นยิ่งสำคัญโดย พระครูปัญญา วโรบล เจ้าอาวาสได้อธิบายดังนี้
หัวใจหลักของการทำพุทธศิลป์ คือ การนำเสนองานศิลปะที่เกิดจากความสงบ ความเพียร ความอดทน และวิสัยทัศน์ งานแต่ละชิ้นต้องคิดจากความคิดอันวิจิตรและขบคิดมาก่อนทั้งสิ้น อย่างแนวคิดการจำลองให้วัดเป็นเขาพระสุเมรุ เห็นได้จากเชิงบันไดขึ้นพระอุโบสถจะมีเหล่ากินนร กินรี คนธรรพ์ และนางอัปสร ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ โอบล้อมด้วยพญานาคผู้ดูแลพระพุทธศาสนา และมีต้นกัลปพฤกษ์ต้นไม้ในป่าหิมพานต์อยู่ด้านหลัง “ต้นกัลปพฤกษ์หมายถึงความอุดมสมบูรณ์” พระครูปัญญากล่าว ตามตำนานเชื่อว่าหากใครขออะไร ปลายกิ่งก็จะแตกออกมาเป็นสิ่งที่ต้องการ
เรื่องของงานศิลปะได้พูดคุยกับ ไกรชนินทร์ จันทรเวโรจน์หรือ ช่างเอ๋ ที่มากำกับดูแลงานที่ยังดำเนินการอยู่ในพระอุโบสถ เขาเล่าถึงต้นกัลปพฤกษ์ด้านหลังว่าเป็นฝีมือการออกแบบของช่างคุณากร ปริญญาปุณโณ ผู้ลงมือติดโมเสกแต่ละชิ้นด้วยตัวเองและเป็นเจ้าของไอเดียใช้สารเรืองแสงรอบต้น โดยมีแรงบันดาลใจมาจากต้นไม้แห่งชีวิตในภาพยนตร์เรื่องอวตาร นอกจากนี้ตัวอุโบสถมีต้นแบบมาจากวัดเชียงทอง ประเทศลาว แต่มีความกว้างมากกว่า 1 เท่า และความยาวมากกว่า 2 เท่า เสาแต่ละต้นลงลวดลายด้วยมือ โดยรอบนอกเป็นลายดอกบัวและสัตว์ทั้งหลายตามคติบัว 4 เหล่า ทางเข้าเป็นต้นสาละ เขยิบเข้ามาเป็นต้นมะขามป้อม ต้นสมอ และด้านในสุดเป็นต้นโพธิ์ ส่วนพระประธานมีผู้นำมาถวายวัด ดั้งเดิมเป็นองค์พระพุทธชินราช แต่ช่างคุณากรได้ออกแบบใหม่โดยถอดรัศมีและพระเกตุมาลาออก แล้วแกะสลักไม้เป็นต้นโพธิ์ไปวางอยู่ด้านหลังพระประธาน
ส่วนตัววัดนั้น เจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบันเล่าให้ฟังว่า ท่านพระอาจารย์บุญมากเป็นผู้ริเริ่ม ท่านเป็นคนฝั่งลาวจำปาสักเข้ามาเผยแพร่อบรมสมาธิทางฝั่งไทย และได้ปักกลดที่ภูพร้าวแห่งนี้ในปี 2497-2498 ต่อมาปี 2516ท่านได้ขอบิณฑบาตพื้นที่ให้เป็นวัดจากทางหน่วยทหารและทางราชการอ.พิบูลมังสาหาร ทางอำเภอจึงให้ตั้งชื่อวัดว่า วัดสิรินธรวราราม หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์บุญมากต้องกลับประเทศลาว ทิ้งให้วัดร้างหลายสิบปี จนกระทั่งปี 2542 พระครูกมล ลูกศิษย์ของท่านได้ค้นพบวัดอีกครั้งและบูรณะให้กลับมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมได้ดังเดิม หลังจากพระครูกมลละสังขารไปในปี 2549 พระครูปัญญาก็เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดและสานต่องานสร้างวัดต่อไป อย่างต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว ส่วนพระอุโบสถยังมีการแต่งเติมอยู่เรื่อยๆ
ทั้งนี้ เป็นเรื่องดีที่วัดเป็นที่รู้จักทำให้มีพุทธศาสนิกชนมากราบไหว้และทำนุบำรุงศาสนา แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาตามมาโดยเฉพาะเรื่องการถ่ายภาพ ที่เคยมีคนแอบถ่ายภาพแฟชั่นภายในวัดเมื่อไม่นานมานี้ พระครูปัญญาจึงฝากเน้นย้ำว่างานศิลปะที่สวยงามแท้จริงคือ “พุทธศิลป์” ที่มีนัยถึงความเพียรพยายามและความหมายของความอุดมสมบูรณ์ เมื่อมาชมแล้วก็อยากให้คิดถึงแก่นแท้ มิใช่มองแล้วสวยเพียงอย่างเดียว


