posttoday

เสียงจากฟ้า ปาฏิหาริย์สู่ชัย

18 ตุลาคม 2559

จบครึ่งแรกเราตามอยู่ 0-2 พระองค์ทรงรับสั่งให้รองราชเลขาฯ โทรศัพท์ทางไกลถึงผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยที่อยู่มาเลเซียว่า "เราดูฟุตบอลอยู่ เราติดตามดูอยู่ ขอส่งกำลังใจไปให้"

โดย...ชมณัฐ รัตตะสุข

สิ่งสำคัญที่สุดในการแข่งขันกีฬาคือ “ใจ” เมื่อมีกำลังใจเต็มเปี่ยมแม้ฝีมือจะเป็นรองก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ และสำหรับนักกีฬาไทยทุกคน คงไม่มีกำลังใจไหนที่เปี่ยมล้นไปกว่ากำลังใจจากราชาอันเป็นที่รักของคนทั้งชาติ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในนัดชิงชนะเลิศ ศึกฟุตบอล เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 นัดชิงชนะเลิศ นัดสอง ทัพนักเตะทีมชาติไทยกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเมื่อบุกไปโดนมาเลเซียนำอยู่ในครึ่งแรก 0-2 ส่งให้ความหวังการทวงเจ้าอาเซียนเริ่มริบหรี่ แต่ทันใดนั้นในครึ่งหลังได้มีระฆังสวรรค์จากฟากฟ้า เมื่อพ่ออยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับสั่งให้ราชเลขาธิการ สํานักพระราชวัง โทรศัพท์ทางไกลเพื่อทรงพระราชทานกำลังใจถึงเหล่าขุนพลแดนสยาม ซึ่งนับเป็นสิ่งที่สำคัญช่วยให้ “ช้างศึก” ยิงสองประตูได้ในช่วงท้ายเกม จบเกมด้วยผล 2-3 สกอร์รวมชนะ 4-3 คว้าแชมป์รายการนี้ในรอบ 12 ปี

ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ถวายงานพระองค์อย่างใกล้ชิด เปิดเผยถึงวินาทีนั้นว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงติดตามและใส่พระทัยในฟุตบอลทีมชาติมาโดยตลอด ในแมตช์นั้น พระองค์ทรงตื่นจากบรรทมด้วยพระองค์เองตอนเวลา 19.00 น. พร้อมมีรับสั่งให้เปิดโทรทัศน์เพื่อที่จะดูการแข่งขัน สิ่งนี้แสดงถึงความตั้งพระทัยจริงๆ เมื่อจบครึ่งแรกเราตามอยู่ 0-2 พระองค์ทรงรับสั่งให้รองราชเลขาฯ โทรศัพท์ทางไกลถึงผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทยที่อยู่มาเลเซียว่า “เราดูฟุตบอลอยู่ เราติดตามดูอยู่ ขอส่งกำลังใจไปให้” ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง ที่พระองค์ทรงห่วงใย

แน่นอนว่าวินาทีนี้จะตราตรึงอยู่ในใจเหล่าขุนพล “ช้างศึก” ไปชั่วชีวิต โดย เกษม จริยวัฒน์วงศ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย เผยถึงเหตุการณ์หลังได้รับกำลังใจจากพระเจ้าแผ่นดินว่าปาฏิหาริย์มีจริง

“มีโทรศัพท์เข้ามาที่เครื่องผมตอนพักครึ่ง แต่ผมไม่รู้สึกตัว เพราะกำลังกระตุ้นนักฟุตบอลในห้องพักอยู่ พอลงไปเล่นครึ่งหลังเราก็โดนยิงเพิ่ม 0-3 สักพักผมมีความรู้สึกว่าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น จึงหยิบขึ้นมาดูพบข้อความจากรองราชเลขาฯ ให้ติดต่อกลับ วินาทีนั้นมือผมสั่นไม่หยุดเลย กดเบอร์ผิดๆ ถูกๆ ขาดบ้าง เกินบ้าง ต้องให้คุณหมอในทีมเป็นคนกดให้ เมื่อติดต่อได้ท่านรองราชเลขาฯ ได้บอกกับผมว่า ในหลวงทรงทอดพระเนตรการแข่งขันอยู่ และมีพระราชสาสน์ถึงนักฟุตบอลว่า ‘ขอให้กำลังใจผู้เล่นทุกคน ขออวยพรให้ชนะ อย่าท้อถอย ให้สู้ถึงที่สุด’ และยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ชาริล ชัปปุยส์ ก็ยิงเข้าทันทีไล่มาเป็น 1-3 ในนาที 82 ตอนนั้นผมสติหลุดเลย วิ่งไปด้วยตะโกนไปด้วย บอกปลายสายว่าเรายิงเข้าแล้วๆ พร้อมตะโกนบอกนักบอลว่าในหลวงโทรมาให้กำลังใจทุกๆ คน จากนั้นอีก 5 นาทีต่อมา ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก็ยิงประตูให้ทีมเป็น 2-3 ทำให้เราได้แชมป์ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง และแชมป์วันนั้นทำให้ฟุตบอลไทยประสบความสำเร็จจนถึงวันนี้” เกษม เผย

เสียงจากฟ้า ปาฏิหาริย์สู่ชัย

นอกจากนี้ หลายคนคงจะคุ้นชินภาพที่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือทีมชาติไทย ก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในห้องพักนักกีฬาก่อนลงแข่งทุกครั้ง ซึ่งกุนซือวัย 43 ปี เชื่อว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรการแข่งขันอยู่ ดังนั้นนักฟุตบอลทุกคนต้องเล่นให้เต็มที่ คว้าชัยชนะถวายแด่พระองค์

“ตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นผู้เล่น ทีมชาติไทยจะอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปประทับไว้เหนือหัวในห้องพักนักกีฬาด้วยเสมอ เสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และเราจะลงไปเล่นเพื่อในหลวง ผมเชื่อเสมอมาว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรและติดตามทีมฟุตบอลทีมชาติไทย สิ่งนี้คือสิ่งที่เราทำถวายพระองค์ท่านได้ในฐานะนักกีฬา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในตอนซูซูกิ คัพ เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงรับสั่งให้ราชเลขาฯ โทรศัพท์มาให้กำลังใจนักเตะ ทุกคนมีความมุ่งมั่นขึ้นมาทันที นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของนักฟุตบอลและทีมสตาฟฟ์โค้ชทุกคน”  ซิโก้ กล่าว

ด้าน อดุล หละโสะ มิดฟิลด์กัปตันทีมชุดดังกล่าว ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงห่วงใยประชาชนมาโดยตลอด และรับรู้ว่าไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ทุกอย่างจะอยู่ในสายพระเนตรแน่นอน

“ตอนพักครึ่งทุกคนใจหาย ไม่คิดว่าสกอร์จะตาม 2 ลูก หลายคนในทีมยังเป็นดาวรุ่ง ประสบการณ์น้อย ทุกคนนั่งนิ่งกันหมด แต่ระหว่างครึ่งหลังเมื่อได้ยินผู้จัดการทีมตะโกนบอกว่าในหลวงทรงพระราชทานกำลังใจมาให้ นาทีนั้นทุกคนเกิดความฮึกเหิม ผมซึ่งนั่งอยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองรู้สึกได้ เพราะก่อนแข่งทุกคนพร้อมใจปฏิญาณต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ว่าจะขอสู้สุดชีวิต เสมือนทหารที่ยอมตายเพื่อชาติ นับเป็นบุญของนักฟุตบอลทุกคนที่ท่านทรงทอดพระเนตรและอยากให้กำลังใจแก่พวกเรา ที่สำคัญทำให้ผมได้รู้ว่าพระองค์ทรงห่วงใยประชาชนมาตลอด ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพไหน จะอยู่ในสายพระเนตรของท่านเสมอ”

จากนี้แม้จะไม่มีเสียงจากสวรรค์จากฟากฟ้าอีกแล้ว แต่นักฟุตบอลทุกคนยังคงตั้งมั่นทุ่มเทหัวใจยามลงสนาม เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวงอันเป็นที่รักต่อไป