posttoday

ต้องรักษาระยะห่างให้พอดี

14 พฤษภาคม 2560

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยค่อนข้างเนื้อหอมเพราะมีแขกจากสหรัฐแห่กันมาเยือนแบบผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โทรศัพท์สายตรงพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีไทย เพราะผู้นำสหรัฐคนนี้

ไม่ค่อยโทรศัพท์หาใครง่ายๆ ในขณะที่โลกวิตกว่า การเผชิญหน้ากันระหว่างเกาหลีเหนือกับกองเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐจะนำไปสู่สงครามระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ และจะขยายมากกว่าคาบสมุทรเกาหลีหรือไม่ หรือเป็นเพียงสหรัฐแสดงพลังข่มขู่ต่อเกาหลีเหนือเท่านั้น ที่ประเทศไทย คนระดับรัฐมนตรีของสหรัฐก็แวะเยือนเมืองไทย ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐเชิญเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติไปเยือนวอชิงตัน ขณะเดียวกัน ก็มีบุคคลสำคัญที่ไม่ระบุว่าเป็นใครก็แอบมาพบกับนายกรัฐมนตรี และเปรยให้ทราบถึงความกังวลของสหรัฐให้ไทยทราบล่วงหน้าก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะต่อสายตรงคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยโดยตรง 

ที่เคยถือนโยบายว่าจะไม่ติดต่อกับผู้นำทหารของไทยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เชิญเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยไปเยือนสหรัฐ ไม่เชิญไปร่วมงานวันชาติที่จัดโดยสถานทูตสหรัฐที่กรุงเทพฯ แต่วันนี้ สหรัฐภายใต้รัฐบาลทรัมป์ลืมหมดแล้ว ทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่เคยแสดงท่าทีรังเกียจ ไม่อยากคบค้ากับรัฐบาลทหาร ต้องกลืนน้ำลายจากนโยบายของรัฐบาลใหม่โดยนั่งหน้าตาจะบึ้งก็ไม่ใช่ จะยิ้มก็ไม่เชิง เมื่อต้องนำแขก วีไอพี จากวอชิงตันเข้าพบนายกรัฐมนตรีไทย ทำให้ใครๆ รู้ว่า ประชาธิปไตยเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ทุกอย่างอยู่ที่ผลประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของสหรัฐ 

ข่าวกล่าวว่า นอกจากทักทายกันตามธรรมเนียมของผู้นำที่เพิ่งจะรู้จักกันครั้งแรก ทรัมป์ยังเหนียมๆ ไม่กล้าพูดกับผู้นำไทยโดยตรงว่าต้องการอะไร จนผู้นำไทยในความเป็นทหารอดรนทนไม่ได้ต้องถามว่า ที่โทรมาคุยนั้น ทรัมป์มีความกังวลใจอะไรเป็นพิเศษหรือไม่อย่างไร เพื่อเปิดทางให้อีกฝ่ายไม่ลำบากใจที่จะเริ่มต้น ซึ่งทรัมป์ก็ยอมเปิดเผยว่า มีความกังวลใจเรื่องเกาหลีเหนือและทะเลจีนใต้ แม้ยังไว้เหลี่ยมไม่ขอให้ไทยช่วยสหรัฐโดยตรง แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ ซ้ำยังตบท้ายด้วยการเชิญนายกฯ ไปเยือนสหรัฐ เรื่องนี้ต้องชมนายกฯ ไทยที่รักษาระยะห่างระหว่างมิตรทั้งสองคือ สหรัฐกับจีนและรัสเซีย ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนออกหน้า 

ถือว่าเป็นการทูตที่เหนือชั้นมาก เพราะไทยเป็นประเทศเล็กที่ไม่อาจเป็นศัตรูกับประเทศใหญ่หรือทำให้ประเทศใหญ่ไม่พอใจได้ เราก็ต้องใช้ความรู้ความสามารถ ทักษะในการเป็นมิตรกับทุกมหาอำนาจ และรู้จักรักษาระยะห่างที่กำลังพอดีระหว่างมหาอำนาจทั้งหลาย เพื่อผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติซึ่งไทยก็มีเหมือนกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ เหมือนกัน ทักษะในการถ่วงดุลอำนาจเป็นสิ่งที่ประเทศเล็กๆ เช่นไทยเอาตัวรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ทุกครั้ง

ที่บุคคลสำคัญของสหรัฐมาทำพูดดีกับเรานั้น ไม่ใช่เขาเจตนาดีหรือหวังดีกับไทยแต่อย่างใด แต่เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติของเขาโดยตรง อย่างไรก็ดี แม้เป็นมิตรใกล้ชิด แต่คนไทยไม่เคยลืมเมื่อครั้งที่ไทยเคยสนับสนุนสหรัฐในสงครามเวียดนาม โดยยินยอมให้ใช้สนามบินอู่ตะเภาสำหรับเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักและสนามบินอีกหลายแห่งสำหรับเครื่องบินรบไปทิ้งระเบิดในเวียดนาม และท่าเรือสัตหีบสำหรับขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่พอถึงเวลาที่สหรัฐเปิดหนีกลับประเทศกลับไม่บอกมิตรประเทศใกล้ชิดเช่นไทยแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้ไทยเผชิญชะตากรรมตามลำพัง ความมั่นคงของไทยถูกคุกคามรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในสงครามกัมพูชา หากไม่ได้จีนช่วยเหลือ ป่านนี้ ชะตากรรมของไทยจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ได้ จริงอยู่ การที่จีนช่วยเหลือนั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของเขา แต่ก็เป็นผลประโยชน์ร่วมที่ลงตัวกันระหว่างไทยกับจีน

สหรัฐเห็นความสำคัญของไทยตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ในการใช้ไทยเป็นฐานสำคัญต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ต่อมาได้ใช้ไทยเป็นฐานในการต่อต้านการขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ลงมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านพรรคคอมมิวนิสต์ท้องถิ่นสายจีน การตัดสินใจของสหรัฐอยู่บนผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐเป็นสำคัญ ปัจจุบัน ไทยกลายเป็นพื้นที่ต่อสู้แย่งชิงอิทธิพลระหว่างมหาอำนาจนอกพื้นที่เช่นสหรัฐ กับมหาอำนาจในพื้นที่เช่นจีน ซึ่งขึ้นอยู่กับเราจะใช้จุดแข็งที่เรามีอยู่หาประโยชน์ให้ประเทศได้มากที่สุดอย่างไร

นักยุทธศาสตร์ความมั่นคงของไทยต้องตระหนักถึงของดีที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่นักยุทธศาสตร์มองว่า เป็นที่ตั้งที่ดีที่สุดเพราะเป็นศูนย์กลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแผ่นดินใหญ่  เชื่อมระหว่างสองมหาสมุทร หรือมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียที่ไทยสามารถออกได้สองด้าน เป็นศูนย์กลางของการบินและการขนส่งทางอากาศและทางเรือ ทั้งสหรัฐและจีนตระหนักถึงความสำคัญของไทยดี แม้สหรัฐขู่ที่จะยกเลิกการซ้อมรบ “คอบราโกลด์” หลังการยึดอำนาจในปี 2557 เพราะถือว่าไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย คนไทยหลายคนหัวเราะอยู่ในใจและบอกให้เฉยๆ ไว้ เพราะในทางการเมืองสหรัฐต้องแสดงแบบนั้น แต่อีกไม่นาน สหรัฐก็ต้องหันมาง้อเราเอง เพราะไม่มีประเทศไหน พื้นที่ซ้อมรบใด ที่ฝึกคอบบราโกลด์ได้สะดวกเหมือนไทย 

วอชิงตันไม่เคยมองข้ามอู่ตะเภาและหาทางกลับมาอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐจะกลับมาปักหมุดเอเชียอีกครั้ง พรรคการเมืองไทยที่โปรสหรัฐ ทางวอชิงตันจะหนุนให้ขึ้นสู่อำนาจและครองอำนาจนานที่สุด เพราะหลังจากนั้นสหรัฐจะเอาอะไรก็ได้ แม้รัฐบาลนั้นจะทำร้ายประชาชน วอชิงตันก็จะหลับตาข้างหนึ่ง คำว่าประชาธิปไตยเป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้ดูดีเท่านั้น  

ข่าวกล่าวว่า ทรัมป์ยืนยันกับผู้นำไทยว่า จะทำให้ความสัมพันธ์กลับมาแข็งแรงและร่วมมือกันมากขึ้นแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  และบอกว่า หากมีอะไรที่เขาจะดูแลได้ ก็ขอให้โทรศัพท์พูดคุยได้ตลอดเวลา  หากรายงานนี้เป็นจริง เราคงเห็นการเปลี่ยนแปลงทูตสหรัฐประจำไทยซึ่งดำเนินนโยบายแข็งกร้าวกับรัฐบาลทหารชุดนี้ตามนโยบายของรัฐบาลโอบามา และจาบจ้วงสถาบันสูงสุดหลายครั้ง รวมทั้งสนับสนุนกลุ่มที่สูญเสียอำนาจทางการเมืองให้กลับคืนสู่อำนาจ รัฐบาลทรัมป์ต้องยกเครื่องทีมการทูตสหรัฐประจำไทยใหม่หมดเพื่อเริ่มศักราชใหม่ความสัมพันธ์กับประเทศไทยและคนไทย