วอนขึ้นภาษีบุหรี่เพื่อลดการสูบบุหรี่ในคนจน
เลขาฯมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เรียกร้องรัฐบาลขึ้นภาษีบุหรี่หวังลดการสูบบุหรี่ในคนจน
เลขาฯมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เรียกร้องรัฐบาลขึ้นภาษีบุหรี่หวังลดการสูบบุหรี่ในคนจน
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีขึ้นภาษีบุหรี่เพื่อลดการสูบบุหรี่ในคนจน โดยจากการเปิดเผยของสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่พบว่าค่าใช้จ่ายการซื้อบุหรี่ของคนไทยในไตรมาสที่สองของปีนี้เท่ากับ 15,212 ล้านบาท ซึ่งหากนำจำนวนผู้สูบบุหรี่ตามฐานะมาคำนวณ จะพบว่าเป็นค่าใช้จ่ายบุหรี่ของคนที่ยากจนที่สุด 565 ล้านบาท ที่เป็นผู้สูบบุหรี่ 1.3 ล้านคนที่มีรายได้ 1,982 บาทต่อคนต่อเดือน และของคนที่ฐานะยากจน 783 ล้านบาท ที่เป็นผู้สูบบุหรี่ 1.85 ล้านคน ที่มีรายได้ 6,097 บาทต่อคนต่อเดือน โดยรวมแล้วเป็นค่าซื้อบุหรี่ที่มาจากคนที่จนและจนที่สุด 1,348 ล้านบาทสำหรับไตรมาสที่สอง
ทั้งนี้การขึ้นภาษีบุหรี่ครั้งสุดท้ายมีขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2555 ซึ่งผลของการขึ้นภาษีได้หมดไปแล้วตั้งแต่หกเดือนหลังการขึ้นภาษี จากการที่บริษัทบุหรี่แก้เกมโดยการออกบุหรี่ยี่ห้อใหม่ที่มีราคาถูก รวมทั้งการผลิตบุหรี่ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าหนึ่งกรัมต่อมวน เพื่อลดภาระภาษีที่คิดตามน้ำหนัก การว่างเว้นจากการขึ้นภาษีมาสามปี ทำให้คนสูบบุหรี่สูบมากขึ้น ซึ่งการขึ้นภาษีเป็นมาตรการที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนจนไม่สูบบุหรี่เพิ่มขึ้น และทำให้วัยรุ่นเข้ามาติดบุหรี่ใหม่น้อยลง และหากไม่มีการขึ้นภาษี มาตรการทางกฎหมายและการรณรงค์อื่น ๆ จะได้ผลน้อย และการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่โดยหน่วยงานต่าง ๆ ก็เพื่อสร้างเงื่อนไขภาวะแวดล้อมทางสังคม
"ขอให้รัฐบาลมีความกล้าหาญที่จะขึ้นภาษีบุหรี่ ซึ่งการขึ้นภาษีบุหรี่ เพราะนอกจากจะทำให้คนจนสูบบุหรี่ลดลงแล้ว ยังทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้น ขณะที่เมื่อคนสูบบุหรี่น้อยลงการเจ็บป่วยจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ก็จะลดลง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ลดลงด้วย รัฐบาลจึงควรขึ้นภาษีบุหรี่โดยเร่งด่วน"ศ.นพ.ประกิตกล่าว
ศ.นพ.ประกิตกล่าวว่า ระหว่าง พ.ศ.2536-2555 มีการขึ้นภาษีรวมสิบครั้ง เฉลี่ยสองปีต่อครั้ง ทำให้รัฐบาลซึ่งเก็บภาษียาสูบได้ในปี พ.ศ.2536 จำนวน 15,345 ล้านบาท เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเป็น 61,000 ล้านบาทในปี พ.ศ.2557 ในขณะที่ยอดจำหน่ายบุหรี่ซิกาแรตทรงตัวอยู่ที่ปีละ 2,000 ล้านซอง จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงจาก 12.3 ล้านคน เหลือ 11.4 ล้านคน และอัตราการสูบบุหรี่ของชายไทยลดลงจาก 59.3% เหลือ 40.7% ในช่วงเวลายี่สิบปี อันเป็นหลักฐานยืนยันว่าการขึ้นภาษียาสูบส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจของประเทศและสุขภาพของประชาชน