posttoday

ร่องรอยความบอบช้ำ บาดแผลในใจ “เด็ก” ในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นคอนเทนต์

01 พฤษภาคม 2567

เพราะร่องรอยแห่งโลกดิจิทัลย้อนกลับมาทำร้ายเราได้! พ่อแม่ต้องคำนึงสิทธิเด็กให้รอบคอบก่อนโพสต์คอนเทนต์ลูกบนโลกออนไลน์ ความเห็นจากคนในสังคมอาจกระทบจิตใจเด็กในอนาคต

เราเคยเห็นการนำเสนอเนื้อหาของเด็กผ่านสื่อมาแล้วในอดีต เช่น รายการโทรทัศน์ เกมโชว์การแข่งขันต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะนำเสนอในมิติเดียว คือในเชิงของทักษะความสามารถพิเศษของเด็ก ทำให้ปฏิกิริยาของผู้คนมักจะเป็นในลักษณะชื่นชม เพราะรู้สึกว่าเด็กมีพรสวรรค์ หรือ Talent ในเรื่องนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ในยุคปัจจุบันที่สื่อไม่ได้มีเพียงโทรทัศน์ แต่ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือของตัวเอง จึงมีโอกาสสูงว่าสิ่งต่างๆ ที่เราถ่ายทอดออกไป ไม่ว่าจะเป็นภาพ คลิป ความคิดเห็น ฯลฯ จะนำเสนอเอนเอียงเฉพาะในมุมที่เราชอบ ซึ่งคนอื่นอาจไม่ชอบก็ได้ และเมื่อเรามีความกล้าที่จะถ่ายทอดสิ่งดังกล่าวออกไป ผู้คนภายนอกก็กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นกลับมาด้วยเช่นเดียวกัน

หนึ่งในปรากฎการณ์ด้านสื่อโซเชียลที่เราอาจสังเกตเห็นกันได้มากขึ้นในช่วงระยะหลัง คือคอนเทนต์เนื้อหาที่นำเสนอเรื่องราวของ ‘เด็ก’ ในวัยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะออกมาแสดงท่าทีหรือความคิดเห็นต่างๆ โดยมีตั้งแต่ครอบครัวโดยพ่อแม่-ผู้ปกครองเป็นผู้นำเสนอ หรือแม้แต่คุณครูในโรงเรียน ซึ่งหลากหลายเนื้อหา โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมิติของความเชื่อ ความศรัทธาของผู้คน นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก

ร่องรอยความบอบช้ำ บาดแผลในใจ “เด็ก” ในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นคอนเทนต์

ผศ.อัญรินทร์ อมรอิสริยาชัย ผู้อำนวยการโครงการปริญญาตรีหลักสูตรนานาชาติ และอาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ให้ความเห็นว่า จากปรากฏการณ์คอนเทนต์เด็กที่เกี่ยวกับความเชื่อจนนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมนั้น ในมุมหนึ่งสามารถสะท้อนกลับมาถึงบทบาทของ ‘ผู้รับสาร’ ด้วยว่า ผู้รับสารหรือผู้ที่รับสื่อจะสามารถกลั่นกรองได้หรือไม่ว่า ควรจะรับมือหรือแสดงออกต่อสื่อที่มีเด็กเป็นคอนเทนต์ในลักษณะนี้อย่างไร นั่นเพราะคนส่วนหนึ่งเมื่อรู้สึกมีอารมณ์ร่วมต่อเรื่องใด ก็มักอยากที่จะแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริม สนับสนุน ชื่นชม หรือในทางตรงกันข้ามหากรู้สึกไม่เห็นด้วย ก็อาจกลายเป็นการโจมตี ด่าทอ 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฝ่ายไหนจะแสดงความเห็นหรือจุดยืนแบบใดออกมา สิ่งที่จะยังคงค้างอยู่ในสังคมคือ ‘ร่องรอย’ ซึ่งเมื่อวันหนึ่งที่เด็กเติบโตขึ้นแล้วได้ย้อนกลับมาเจอเรื่องราว สิ่งที่คนเคยพูดถึงเขาเหล่านี้แล้วจะเป็นอย่างไร

“ความเป็นอิสระของข้อมูลข่าวสาร มันเป็นลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์อยู่แล้ว ซึ่งมันนำมาสู่การตั้งคำถามว่าการที่เราจะนำเสนอด้านใดด้านหนึ่งของเด็กสักคน ยิ่งในยุคนี้เราอาจต้องคิดให้รอบด้านมากขึ้น และต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่อาจเป็นความรู้สึกชื่นชม เป็นความภาคภูมิใจของผู้ปกครอง ที่อยากนำเสนอมุมนี้ ด้านนี้ของเด็ก แต่บางทีความภูมิใจนั้นอาจมองข้ามข้อควรระวังหลายอย่างไป เช่น สิทธิของเด็ก การเติบโตของเด็กในอนาคต และผลกระทบที่เด็กอาจได้รับจากความคิดเห็นในสังคม” ผศ.อัญรินทร์ ระบุ

ในมุมของ ‘สื่อสารมวลชน’ ที่มักมีการนำเรื่องราวเหล่านี้ออกมานำเสนอต่อด้วยนั้น ผศ.อัญรินทร์ ยังให้ทรรศนะว่าตัวของสื่อเองก็จะต้องระมัดระวังมากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยบทบาทของความเป็น ‘สื่อ’ ที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาที่ถูกนำเสนอออกมาได้มากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว การหยิบเอาเรื่องเหล่านี้ออกมาพูดหรือใส่ความคิดเห็นเข้าไปเพิ่มเติม ก็มีโอกาสที่จะชักนำสังคม ทำให้ผู้คนที่ติดตามเกิดอคติกับประเด็นเหล่านั้นตามไปด้วย

ร่องรอยความบอบช้ำ บาดแผลในใจ “เด็ก” ในยุคที่ทุกอย่างกลายเป็นคอนเทนต์

ผศ.อัญรินทร์ ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงปรากฎการณ์ในอีกลักษณะ อย่างการที่พ่อแม่ผู้ปกครองมัก ‘เปิดเพจ’ หรือคอยถ่ายคอนเทนต์ของลูกน้อยเอาไว้ตั้งแต่เกิดจนเติบโต ซึ่งเธอมองว่าหากเป็นฐานคิดของพ่อแม่ที่อยากเก็บความน่ารักของลูก บันทึกพัฒนาการเก็บไว้เป็นความทรงจำ หรืออยากแบ่งปันสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับเพื่อนๆ คนรอบข้าง โดยเนื้อหาที่ผ่านการคัดกรองมาแล้ว เธอเชื่อว่าก็น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้

หากแต่พ่อแม่เองก็ต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของ Social Media เพราะเมื่อไรที่เราใช้เด็กเป็นตัวละครเพื่อเรียก Engagement นั่นจะกลายเป็นคนละจุดยืนทันที ซึ่งในหลายเคสที่เมื่อเด็กถูกพลิกบทบาทไปโดยไม่รู้ตัว กลายมาเป็นตัวละครในการนำเสนอแล้ว นั่นย่อมส่งผลกระทบหลายๆ ด้านให้กับเด็กได้อย่างแน่นอน

ในขณะที่อีกมุมหนึ่งที่มีความน่ากังวล คือลักษณะของเนื้อหาที่สื่อสารออกมาจาก ‘ตัวเด็กเอง’ ซึ่งผศ.อัญรินทร์ ระบุว่า เนื้อหาลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักเห็นได้ชัดว่าน่าจะเกิดจากพฤติกรรมการลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นคลิปท่าเต้น คำพูด หรือกิริยาการกระทำบางอย่าง ซึ่งเด็กอาจเรียนรู้และเข้าใจไปว่าการทำคอนเทนต์ลักษณะนี้จะทำให้คนชอบเขา เพราะผลลัพธ์ที่เขาคาดหวังคือต้องการให้คนชอบ จึงเป็นเรื่องน่ากังวลเมื่อการใช้พื้นที่สื่อสังคมออนไลน์เริ่มบิดเบี้ยวไปเช่นนี้

สิ่งที่เราเห็นปรากฏขึ้นมาทุกวันนี้บนหน้าสื่อสังคมออนไลน์ เนื้อหาหรือคอนเทนต์ต่างๆ ที่ถูกป้อนมาหาเราจะวิ่งมาตาม ‘อัลกอริทึม’ (Algorithm) ซึ่งก็มาจากพฤติกรรมการเสพเนื้อหาในรูปแบบนั้นของเราเอง ฉะนั้นเมื่อไรก็ตามถ้าเราเสพ ‘ดราม่า’ เรื่องใดแล้วรู้สึกสนุก ก็ไม่แปลกที่เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นก็จะคอยขึ้นมา และกระตุ้นเร้าให้เราอยากเข้าไปมีส่วนร่วมมากขึ้น

อาจารย์อัญรินทร์จึงเน้นย้ำว่า สิ่งที่เราทุกคนมีส่วนทำได้ คือการสร้าง ‘ความรู้เท่าทัน’หรือ Social / Media Literacy ของตัวเอง ว่าเมื่อไรก็ตามที่เราเห็นเนื้อหาที่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ไม่สร้างสรรค์ เพียงเรา ‘ไม่เข้าไปยุ่ง - ไม่เข้าไปดู’ ก็น่าจะทำให้อัลกอริทึมลดระดับการส่งเนื้อหาลักษณะนี้มาให้ ซึ่งก็จะเป็นแรงกระเพื่อมต่อไปให้กับเนื้อหาประเภทที่มีความรุนแรง หรือประเภทที่เกี่ยวกับความเชื่อส่วนบุคคล มีความหมิ่นเหม่ต่อความรู้สึก อารมณ์ของผู้คน เนื้อหาเหล่านี้ก็จะต้องลดน้อยลง หากมันเป็นเนื้อหาที่ไม่ถูกเสพหรือไม่ได้รับความนิยม