Google Maps ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ถนอมโลก ใช้ AI แนะเส้นทางประหยัดน้ำมันมากที่สุด

Google Maps เตรียมปล่อยฟีเจอร์ใหม่ถนอมโลก! โดยจะแนะนำเส้นทางสำหรับการใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือการเดินเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางแทนการขับรถ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ยังสะดวกใช้รถส่วนตัวอยู่ ภายในฟีเจอร์ใหม่สามารถแนะนำเส้นทางที่ประหยัดน้ำมันที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้งานประหยัดการใช้น้ำมันกว่าที่เคยเป็น รวมถึงยังมีฟีเจอร์ค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย

ฟีเจอร์ใหม่จาก Google Maps จะนำร่องการใช้งานในประเทศออสเตรเลียก่อน โดย Andrew Foster ผู้บริหารของ Google Maps ให้ความเห็นว่า ฟีเจอร์ใหม่นี้จะเข้ามาปฏิวัติการเดินทางของทุกคน โดยมุ่งเน้นไปที่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับการแนะนำเส้นทางที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด ตัวแอปฯ จะใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)  เข้ามาช่วยวิเคราะห์เส้นทาง โดยเน้นไปที่การใช้พลังงานให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าเส้นทางเหล่านั้นอาจใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติ โดย AI จะวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน เช่น สภาพถนน ความชันของเส้นทาง และข้อมูลปริมาณรถยนต์แบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าประเภทของพาหนะภายในฟีเจอร์ใหม่ Google Maps ได้ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ที่เติมน้ำมันเบนซิน รถยนต์ที่เติมน้ำมันดีเซล รถยนต์ไฮบริด หรือรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยให้ระบบนำทางคำนวณเส้นทางที่ประหยัดพลังงานได้มากที่สุด  โดยระบบจะพิจารณาข้อมูลประเภทของรถยนต์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เพื่อแนะนำเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด

สำหรับฟีเจอร์แนะนำเส้นทางการโดยสารด้วยระบบขนส่งสาธารณะหรือการเดินเท้า จะเปิดใช้งานหากระยะเวลาในการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะหรือเดินเท้าเร็วกว่าการใช้รถส่วนตัว โดยจะนำร่องการใช้งานใน 15 เมืองทั่วโลก อาทิ อัมสเตอร์ดัม บาร์เซโลนา ลอนดอน มอนทรีออล ปารีส โรม และซิดนีย์

จับมือสตาร์ทอัพ ยกระดับเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Climate Tech)

นอกจากการพัฒนาฟีเจอร์ของตัวเองเพื่อรับมือกับภาวะโลกเดือดในปัจจุบัน Google ยังร่วมมือกับสตาร์ทอัพรายอื่นๆ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Climate Tech) อาทิ Stream Ocean ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยบริษัทมีจุดประสงค์ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อฟื้นฟูปะการังและระบบนิเวศใต้ท้องทะเล ด้วยการผสมผสานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning ) เข้ากับกล้องวิดีโอใต้น้ำ ซึ่งสามารถตรวจสอบความหลากหลายทางชีวภาพใต้ท้องทะเลได้แบบเรียลไทม์

อย่างไรก็ตาม Stream Ocean ยังประสบปัญหาในการเพิ่มคำอธิบายเพื่อระบุสายพันธุ์ปลาต่างๆ ซึ่งเมื่อร่วมมือกับ Google เทคโนโลยีดังกล่าวจึงถูกฝึกและพัฒนาขึ้นให้สามารถระบุสายพันธุ์ปลาชนิดต่างๆได้ และนับเป็นก้าวสำคัญในการปลดล็อกข้อมูลมหาศาล

สตาร์ทอัพอีกหนึ่งรายที่ Google ร่วมจับมือในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมคือ FAUME สตาร์ทอัพเสื้อผ้ามือสองจากฝรั่งเศษ ที่ต้องการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในอุตสาหกรรมแฟชั่น

FAUME ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจาก Google Cloud เพื่อพัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการช่วยประเมินราคาเสื้อผ้ามือสอง รวมถึงช่วยกำหนดราคาขายโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการนำระบบนี้เข้ามาใช้ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ที่สนใจขายสินค้ามือสองสามารถทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการนำเสื้อผ้ากลับมาใช้ใหม่ ส่งเสริมความยั่งยืนให้กลายเป็นเรื่องเข้าถึงง่าย