posttoday

อสังหาฯ-โรงแรมโซนตะวันออก เร่งปรับทัพหนีตลาดแข่งดุ

29 มิถุนายน 2559

ถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมในภาคตะวันออก เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

โดย...โชคชัย สีนิลแท้, จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

ถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมในภาคตะวันออก เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่จากกรุงเทพฯ ต่างเดินหน้าขยายการลงทุนมายังภาคตะวันออกมากขึ้น หลังจากประเมินแล้วว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีอยู่สูง เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นทั่วประเทศ

นวณัฐ สุขะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มารวย เรียลเอสเตท บริษัทในเครือวิจิตรากรุ๊ป เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจในประเทศแม้ว่ายังคงซบเซา แต่หากพิจารณาแล้วจะพบว่าภาคตะวันออกนั้นยังคงเติบโตได้ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรม ซึ่งจะเห็นได้จาก จ.ฉะเชิงเทรา มีโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่า 1,600 แห่ง ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอยู่ระหว่างการขาย 3,000-4,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 2-4 ล้านบาท โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาด 30% และคาดว่าปีหน้าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้ได้ 40-50%  

“บริษัทพัฒนาอสังหาฯ มานาน 10 ปี จะเน้นพัฒนาโครงการแนวราบราคา 2-4 ล้านบาท/ยูนิต เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง แต่ปัจจุบันตลาดในภาคตะวันออกเริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มออกมาแข่งขันมากขึ้น ทำให้ต้องเน้นก่อสร้างบ้านเดี่ยวที่ให้พื้นที่ภายในบ้านมากกว่าคู่แข่ง เช่น ผู้ประกอบการรายใหญ่จะสร้างบ้านขายขนาด 130 ตร.ม. แต่บริษัทจะสร้างบ้านขนาด 180 ตร.ม. แต่มีราคาขายเท่ากันที่ 3 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกของผู้ซื้่อ” นวณัฐ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี ในการนำระบบก่อสร้างสำเร็จรูป หรือพรีคาสต์มาใช้ในการก่อสร้างบ้าน ซึ่งสามารถร่นระยะเวลาก่อสร้างลงจากเดิม 180 วัน ลดลงเหลือ 90 วัน ทำให้สามารถส่งมอบบ้านได้เร็วขึ้น

สำหรับในปีนี้บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านมารวย อรัญ จ.สระแก้ว บ้านเดี่ยวราคา 2.6-4.1 ล้านบาท จำนวน 110 ยูนิต มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท โครงการบ้านมารวย สระแก้ว จ.สระแก้ว ราคา 1.9-2.1 ล้านบาท  จำนวน 114 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท และโครงการบ้านมารวย ริเวอร์ไซด์  ริมแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ราคา 2.9-4.3 ล้านบาท เปิดเฟสแรก  173 ยูนิต มูลค่า 1,550 ล้านบาท ส่วนในปี 2560 นั้น มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 3-4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการเปิดใหม่ตั้งแต่ปี 2559-2560 มูลค่า 3,800 ล้านบาท นอกจากนี้ ในปี 2561  มีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมราคา 1-2 ล้านบาท/ยูนิต รวมไปถึงการเจรจาซื้อโครงการอสังหาฯ ต่างประเทศในเอเชียมาพัฒนาต่อ และมีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ

สำหรับในปี 2559 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 1,000 ล้านบาท โดยมียอดรับรู้รายได้ 700-800 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีที่ดินในภาคตะวันออกไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ ถือครองในนามบริษัท แพทโก้ อะโกร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่ใช้ทางด้านเกษตรกรรมปลูกพืชประเภทมันสำปะหลัง ข้าวโพด และยางพารา นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเครื่องปั๊มน้ำ รถตัดหญ้า เครื่องยนต์เรือ และเครื่องจักรกลทางการเกษตร และธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ร่วมกับบริษัท วิจิตรา จะมีรายได้ในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท

เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรมในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะ อ.ศรีราชา ที่มีการแข่งขันที่รุนแรงเช่นกัน วิวัฒน์ ตั้งจิตกอบบุญ ผู้อำนวยการกลุ่มคอร์ปอเรต เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ในเครือเกษมกิจ เปิดเผยว่า ปี 2560 น่าจะเป็นปีที่ธุรกิจโรงแรมแถบ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แข่งขันหนักที่สุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ทำธุรกิจโรงแรมในพื้นที่นี้มา เพราะจะมีโรงแรมใหม่ทยอยเปิดบริการ ทำให้ปลายปี 2560 มีจำนวนห้องพักย่านนี้เพิ่มอีก 2,700 ห้อง หรือเพิ่มอีกมากกว่า 50% ของจำนวนห้องพักในปัจจุบันของย่านนี้ที่มีกว่า 4,000 ห้อง เท่ากับปีหน้าจะมีห้องพักย่านนี้รวม 6,700 ห้อง ขณะที่ความต้องการลูกค้าไม่ได้เพิ่มตาม เพราะมีปัญหาเศรษฐกิจทำให้นักธุรกิจมาติดต่อธุรกิจน้อยลง

สำหรับเคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ มีโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ใน อ.ศรีราชา 4 แห่ง ได้แก่ 1.เคปราชา 2.แคนทารี เบย์ 3.คามิโอ เฮ้าส์ และ 4.คาราเวล เฮ้าส์ รวม 700 ห้อง มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 85% โดยที่เคปราชา มีอัตราเข้าพักสูงสุด 90% เพราะเป็นโรงแรมที่หรูที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งในพื้นที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงห้องพักทั้งหมด โดยเริ่มปรับปรุงตั้งแต่ต้นปี เช่น เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนพื้นห้อง เปลี่ยนโทรทัศน์ ปัจจุบันทำไปแล้ว 70% คาดว่าปลายปีนี้น่าจะเสร็จ ประเมินงบปรับปรุง 50-60 ล้านบาท สาเหตุที่ปรับปรุงก็เพื่อรองรับการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น ทำให้โรงแรมดูใหม่ ดึงดูดลูกค้าได้ดีขึ้น

“เราต้องพยายามดูแลผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดีกว่าคู่แข่ง จะไม่ลงไปเล่นเรื่องราคา โรงแรมอื่นบางแห่งอาจใช้วิธีลดราคา 20-30% แต่เมื่อลดราคาไปแล้วผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ บริการไม่ดี ลูกค้าก็ถอยเช่นกัน” วิวัฒน์ กล่าว

วิวัฒน์ กล่าวอีกว่า นอกจากปรับปรุงห้องพักให้ใหม่ ยังใช้กลยุทธ์จัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า รองรับกลุ่มลูกค้าหลักที่ใช้บริการ โดยลูกค้าเป็นคนญี่ปุ่น 80% ที่เหลือเป็นชาวเอเชียรวมทั้งคนไทยเกือบ 20% มีชาวยุโรปเล็กน้อย จึงเน้นจัดกิจกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มคนญี่ปุ่นซึ่งเป็นกลุ่มหลักที่ใช้บริการ เช่น พาแม่บ้านญี่ปุ่น ร่วมกิจกรรมไปรับประทานบุฟเฟ่ต์ผลไม้ และจัดงานอากิ มัตสึริ ช่วงปลายปี ขอบคุณลูกค้า เป็นต้น

หากไม่รีบปรับตัวรับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่จะอยู่รอดในตลาดก็จะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน