posttoday

อสังหายังแข่งขยาย

26 กรกฎาคม 2560

2 อสังหาฯ เปิด โปรเจกต์รุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมลุยเซ็กเมนต์พรีเมียมเจาะลูกค้าคนไทยและต่างชาติ

2 อสังหาฯ เปิด โปรเจกต์รุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมลุยเซ็กเมนต์พรีเมียมเจาะลูกค้าคนไทยและต่างชาติ

นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทเน้นนีชมาร์เก็ตโดยเป็นการพัฒนาโครงการอสังหาฯ พรีเมียมเพื่อการลงทุน ซึ่งการันตีผลตอบแทนจากค่าเช่าในอัตราปีละ 7% ต่อเนื่อง 5 ปี

สำหรับในครึ่งปีหลังปีนี้เตรียม เปิดตัว 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท ได้แก่ คอนโด ทำเลวงศ์อมาตย์ พัทยา จำนวน 192 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาขายเริ่ม 4-8 ล้านบาท และโครงการคลัสเตอร์โฮมลักซ์ชัวรี่ ในซอยร่วมฤดี มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท ราคาขายเริ่ม 50-100 ล้านบาท จากแผนทั้งปีที่วางไว้ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท การที่บริษัทหันมาพัฒนาใน กทม.ในย่านซีบีดี เพราะมองว่ายังมีดีมานด์และมีกำลังซื้อจริงแม้จะเป็น กลุ่มเล็กๆ ก็ตาม

ทั้งนี้ บริษัทมีสินค้ารอขายราว 700-800 ล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายที่ 1,500 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำได้ 600 ล้านบาท และได้ตั้งเป้าจะเพิ่มรายได้จากค่าเช่าขึ้น 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยมีแผนจะลงทุนธุรกิจโรงแรมเพื่อสร้างรายได้ระยะยาว

ด้าน นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้น กล่าวว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิด 7 โครงการ มูลค่า ราว 9,700 ล้านบาท โดยเป็นการขยายโปรดักต์มาพัฒนาโครงการแนวราบในรูปแบบทาวน์โฮม 3 ชั้น แบรนด์เดอะ วิชั่น จำนวน 2 โครงการ ทำเลเกษตรนวมินทร์ (มัยลาภ) และนวมินทร์ 85 รวมกว่า 400 ยูนิต ราคาขายเริ่มที่ 3 ล้านบาท

"การซื้อกิจการที่ จ.ภูเก็ต เพื่อพัฒนาคอนโดลักซ์ชัวรี่ตากอากาศสูง 3 ชั้น 4 อาคาร รวม 42 ยูนิต บนพื้นที่ 6 ไร่ ราคาขายเริ่ม 20 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่บริษัทสนใจ นอกจากนี้เตรียมเปิดคอนโดโลว์ไรส์ 5 โครงการ ในทำเลสุขุมวิท 50 สุขุมวิท 71 รัชดา 17 และรัชดา-ห้วยขวาง รวมทั้งยังมีแผนร่วมทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ซึ่งจะเห็นความชัดเจนในเดือนหน้า ส่วนปีนี้ใช้งบซื้อที่ดินไปกว่า 1,000 ล้านบาท" นายธนากร กล่าว

ขณะที่เป้ายอดขายปีนี้บริษัทตั้งไว้ 8,000 ล้านบาท ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ 1,300 ล้านบาท และยังมีแบ็กล็อกราว 3,000 ล้านบาท ที่รับรู้ปีหน้า ด้านแผนระยะยาว 5 ปี คาดสัดส่วนแนวราบ จะเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 30% ของ รายได้รวม