posttoday

อสังหาฯเร่งมือไตรมาส 2-3 หวั่นรายได้พลาดเป้า

23 พฤษภาคม 2560

ผู้ประกอบการใช้เวลานี้เร่งบุกตลาดเพื่อสร้างยอดขายและรายได้ให้เข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุด

โดย...ทีมข่าวอสังหาริมทรัพย์โพสต์ทูเดย์

ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกกันแล้ว สำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จากตัวเลขผลประกอบการที่ออกมานั้นแทบทุกค่ายตัวเลขรายได้และกำไรส่วนใหญ่ลดลงกันถ้วนหน้าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงทำให้ช่วงเวลาที่เหลือคือไตรมาส 2 และ 3 เป็นช่วงเวลาที่ทุกค่ายต้องโหมทำตลาด ขณะที่เดือน ต.ค.จะอยู่ในช่วงเดือนพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นช่วงโศกเศร้า ผู้ประกอบการจึงใช้เวลานี้เร่งบุกตลาดเพื่อสร้างยอดขายและรายได้ให้เข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุดช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้

ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง ระบุว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 น่าจะดีขึ้นจากไตรมาสแรกปีนี้ ที่มีรายได้รวม 8,090 ล้านบาท ลดลง 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรกปี 2559 ได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ มีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการมีมากกว่า 3,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ไตรมาสแรกปี 2560 มีเพียง 1,200 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอนในมือประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ยังไม่รวมการขายโครงการพร้อมอยู่ และโครงการที่จะเปิดตัวใหม่ โดยในช่วงไตรมาส 2 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนมากที่สุดของปีนี้

สำหรับในช่วงไตรมาส 2 นี้จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่ พร้อมส่งมอบจำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ เดอะทรี ริโอ้ จะสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในไตรมาส 2 ปีนี้ ประมาณ 1,300 ล้านบาท โครงการ พลัมคอนโด โอนกรรมสิทธิ์ได้ 500 ล้านบาท และโครงการแชปเตอร์วัน จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ 1,800 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 2 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการ จำนวน 23 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1.78 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทาวน์เฮาส์ จำนวน 15 โครงการ โครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 6 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ

ทองมา ย้ำว่า บริษัทมั่นใจปีนี้รายได้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.02 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือ รวม 2.36 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 1.38 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างขายในมืออีก 168 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5.93 หมื่นล้านบาท

วรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทยังไม่เห็นปัจจัยลบที่จะส่งผลทำให้ตลาดชะลอตัว แม้ผลประกอบการในไตรมาสแรกของบริษัทในตลาดจะกำไรลดลง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไม่มาก ทั้งนี้จะเริ่มเห็นตลาดเคลื่อนไหวในช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป เนื่องจากทุกบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการอยู่แล้ว

“ตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 3 นั้น มองว่ายังเติบโตไม่หวือหวาแต่ไม่ได้แย่ มีหลายปัจจัยมาส่งเสริมแล้ว อย่างเช่นการลดอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ หรือสินเชื่อรายย่อยลง 0.5% เชื่อว่าจะส่งผลดีกับตลาด”วรางคณา กล่าว

ขณะที่ตัวเลขยอดขายของแสนสิริในช่วง 5 เดือน ทำได้แล้ว 1 หมื่นล้านบาท จากยอดขายทั้งปีที่วางไว้ที่ 3.6 หมื่นล้าน โดยในส่วนของยอดขายจากต่างประเทศทำได้ 2,800 ล้านบาท จากเป้าทั้งปี 8,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดรับรู้รายได้ทำได้แล้ว 3.5 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารับรู้ในของแสนสิริ 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนบริษัทร่วมทุน 2,700 ล้านบาท และพร้อมพัฒนาโครงการตามแผน รวมไปถึงการเร่งขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพื่อให้มีรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 3.4 หมื่นล้านบาท

โหมโปร หั่นราคา ระบายสต๊อก

ทริส เรทติ้ง ยังมองว่า ตลาดที่อยู่อาศัยยังคงมีเสถียรภาพ แม้จะมีปัจจัยสนับสนุนที่ไม่เอื้ออำนวยหลายประการ แต่เชื่อว่านักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จะสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้

ขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2560 คาดว่าจะทรงตัวหรือขยายตัวเล็กน้อยจากปี 2559 ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ซื้อบ้าน จากความกังวลปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าอัตราส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะไม่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเท่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ความกังวลหลักในปีนี้คือการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนห้องชุดที่ยังขายไม่หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคอนโดมิเนียมราคาถูก

ทั้งนี้ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส รายงานว่า ประมาณ 70% ของหน่วยคอนโดมิเนียมที่เหลือขายเป็นหน่วยที่มีราคาไม่ถึง 3 ล้านบาทประเมินว่าจะใช้เวลาเกือบ 2 ปีในการขายหน่วยที่เหลือ เพราะยังมีอยู่จำนวนมาก และผู้ประกอบการอาจต้องลดราคา หรือเพิ่มแรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลต่ออัตรากำไรของบริษัท

ขณะที่ผู้ประกอบการได้ปรับพอร์ตการลงทุนโดยมุ่งเน้นที่ที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูง บางรายได้เพิ่มสินทรัพย์เช่าที่สร้างรายได้ประจำ นอกจากนี้นักลงทุนหลายรายยังให้ความสนใจกับผู้ซื้อบ้านในต่างประเทศและนักลงทุนต่างชาติเพื่อชดเชยการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ความพยายามเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนอัตราการเติบโตได้