posttoday

พฤกษาลุยลงทุน ปีหน้าเพิ่มสัดส่วนตลาดพรีเมียม 2 หมื่นล้าน

10 ตุลาคม 2559

พฤกษากางแผนลงทุนปี 2560 เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบ้าน-คอนโดหรู ชี้ลูกค้ากำลังซื้อแข็งแกร่ง ปูพรมโครงการใหม่ 1.5-2 หมื่นล้าน

พฤกษากางแผนลงทุนปี 2560 เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบ้าน-คอนโดหรู ชี้ลูกค้ากำลังซื้อแข็งแกร่ง ปูพรมโครงการใหม่ 1.5-2 หมื่นล้าน

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจพรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า ปี 2560 บริษัทเตรียมรุกตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนหรือกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น โดยเฉพาะระดับราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 1.5-2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาแล้ว เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงมาก และเป็นกลุ่มที่ไม่มีปัญหาเรื่องกู้ไม่ผ่าน

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้ากลุ่มพรีเมียมเป็น 20% ของรายได้รวมภายในปี 2560 จากปัจจุบันสัดส่วนอยู่ที่ 10% โดยตลาดระดับกลาง-บนถือเป็นตลาดที่มีการเติบโตได้ดีแม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อต่ำ เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 4 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการเร่งเปิดโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ รวมถึงการจัดแคมเปญต่างๆ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อได้เป็นอย่างดี โดยคาดว่าในไตรมาส 4 ผู้ประกอบการจะเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มูลค่ารวม 1-1.5 แสนแสนล้านบาท เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการเร่งยอดขายที่ชะลอตัวไปในช่วงครึ่งปีแรก และเชื่อว่าแต่ละโครงการที่เปิดตัวมาล้วนมีจุดเด่นที่สามารถเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่า 85,850 ล้านบาท ไตรมาส 2 เปิดตัว 85,371 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 3 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่น-1 แสนล้านบาท โดยโครงการใหม่ดังกล่าวมีอัตราการดูดซับประมาณ 45-50%

“ไตรมาส 4 พฤกษาเตรียมโหมเปิดโครงการใหม่ประมาณ 20-30 โครงการ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท เน้นระดับราคา 2-3 ล้านบาท เช่น โครงการแชปเตอร์วัน อีโค รัชดา-ห้วยขวาง จำนวน 1,900 ยูนิต มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 1 แสนบาท/ตร.ม.”นายประเสริฐ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 3.46 หมื่นล้านบาท จากเป้ายอดขายทั้งปี 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังคงเหลือยอดที่ต้องทำให้ได้ตามเป้าหมายอีก 1.54 หมื่นล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทำได้ เนื่องจากมีจำนวนโครงการใหม่เปิดมากที่สุดในไตรมาสสุดท้ายของปี