posttoday

ทีเอฟดีปัดฝุ่น "คราวน์ฯ" บุกอสังหาฯเน้นซื้อตึก

16 สิงหาคม 2559

หลังจากเงียบหายจากแวดวงอสังหาริมทรัพย์ระยะหนึ่ง "ทีเอฟดี" ก็เตรียมกลับมารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รอบใหม่

โดย...สุกัญญา สินถิรศักดิ์

หลังจากเงียบหายจากแวดวงอสังหาริมทรัพย์ระยะหนึ่ง บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือทีเอฟดี ก็เตรียมกลับมารุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รอบใหม่ ใช้บริษัทลูก “คราวน์ ดีเวลลอปเม้นท์” ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจากบริษัท วีเอสเอสแอล เอ็นเตอร์ไพรส์ เข้ามาลุยธุรกิจนี้เต็มสูบ

อนุกูล อุบลนุช กรรมการผู้จัดการ บริษัท คราวน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า นโยบายของบริษัทแม่ทีเอฟดี ให้รุกตลาดคอนโดมิเนียมมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตด้านรายได้ให้กับกลุ่ม โดยภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมแม้ว่าจะชะลอตัว แต่ก็ยังมีความต้องการต่อเนื่อง ในบางทำเลก็ยังไปได้ ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การทำตลาดและราคาที่เหมาะกับกำลังซื้อของทำเลย่านนั้น ถ้าอยู่ในทำเลที่ดี ราคาจับต้องได้ ไม่มีปัญหา ทีเอฟดีจึงมองว่ายังมีโอกาส

“เดิมทีเอฟดีมองว่าการพัฒนาคอนโดมิเนียมเหมือนเป็นของว่าง มีจังหวะก็ทำ ส่วนของหลักคือธุรกิจโรงงานเพื่อขายหรือเช่ากับที่ดินเพื่อขายในนิคมอุตสาหกรรม แต่นับจากนี้คอนโดมิเนียมจะกลายเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักเช่นกัน และในเชิงสัดส่วนรายได้จะอยู่ที่ประมาณ 40% ของกลุ่มทีเอฟดี”

สำหรับกลยุทธ์ของคราวน์ฯ ในจังหวะนี้ จะเน้นซื้อตึกเก่าบนทำเลที่มีศักยภาพมาปรับปรุงใหม่แล้วขาย เพื่อรับรู้รายได้ได้เร็ว เพราะหากจะเริ่มต้นนับหนึ่งตั้งแต่ซื้อที่ดิน ออกแบบ ยื่นรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ยื่นขออนุญาตก่อสร้าง ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะได้เริ่มก่อสร้าง กว่าที่อาคารจะก่อสร้างเสร็จ และรับรู้รายได้ได้ ซึ่งอาคารที่กลุ่มคราวน์ฯ จะเลือกซื้อ จะเน้นทำเล ราคาที่เหมาะสม และความแข็งแรงของอาคาร

นอกจากนี้ คราวน์ฯ จะเน้นทำตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางเป็นหลัก โดยจะใช้แบรนด์ “เดอะ วัน” เป็นแบรนด์เรือธงในธุรกิจคอนโดมิเนียม ประเดิมโครงการแรกบริเวณสี่แยกถนนรัชดาภิเษก-เหม่งจ๋าย ภายใต้ชื่อ “เดอะ วัน รัชดา” ซึ่งเป็นโครงการที่ซื้อตึกเก่ามาปรับปรุงใหม่เช่นกัน โดยเดิมคือโครงการซันชายน์ ทาวเวอร์ ย่านรัชดาภิเษก ตึกร้างตั้งแต่ปี 2540 ติดกับโรงแรม ปิ๊ปอินน์ รัชดา บนที่ดินกว่า 8 ไร่ อาคารสูง 34 ชั้น จำนวน 4 อาคาร คิดเป็นมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท โดยเป็นห้องชุดพื้นที่เริ่มต้น 31 ตารางเมตร (ตร.ม.) ราคาขาย 8.5 หมื่นบาท/ตร.ม. หรือเริ่มต้นประมาณ 2.4 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายไตรมาส 4 ปีนี้

อนุกูล กล่าวว่า หากเป็นคอนโดมิเนียมกลางราคาประมาณ 2 ล้านต้นๆ ก็จะใช้แบรนด์เดอะ วัน ส่วนโครงการเดอะ ฮาร์เบอร์ วิว เรสซิเด้นซ์ อาคารแฝด 512 ยูนิต มูลค่ารวม 1,660 เป็นคอนโดมิเนียม 2 แท่ง ราคาขายประมาณ 8 หมื่นบาท-1 แสนบาท/ตร.ม. หรือเริ่มต้น 2.8 ล้านบาท ปัจจุบันขายยกตึกให้กลุ่มบลูโอเชี่ยน เรียลตี้ กรุ๊ป กลุ่มทุนไต้หวันที่เคยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในไทยอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากนี้คราวน์ฯ จะดูแลงานก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และส่งมอบให้กลุ่มไต้หวันภายในปี 2560

ขณะที่โครงการย่านราชดำริ-หลังสวน พื้นที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งเป็นแปลงสุดท้ายบนที่ดิน 60 ไร่ของพระคลังข้างที่ในบริเวณนี้ โดยหลังจากใช้เวลายื่นขออีไอเอมายาวนาน ล่าสุดผ่านอีไอเอและได้ใบอนุญาตแล้ว ปัจจุบันได้เริ่มงานก่อสร้างไปบางส่วน เป็นอาคารสูง 41 ชั้น จำนวน 197 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท คาดจะเปิดขายสิทธิการเช่าราคาเริ่มต้น 1.2 แสนบาท/ตร.ม. และอยู่ระหว่างทบทวนชื่อแบรนด์ จากเดิมใช้ราชดำริ เรสซิเด้นซ์

ด้านโครงการ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนซ์ มูลค่า 3,610 ล้านบาท เป็นโครงการที่เปิดขายมานานแล้วตั้งแต่ยังพัฒนาในนามทีเอฟดี ปัจจุบันเหลือขาย 1,200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะปิดการขายได้ในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า สัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 30-40% ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน โดยรายได้ของธุรกิจคอนโดมิเนียมจะเข้ามาต่อเนื่อง โดยปีนี้ถึงปีหน้าจะเป็นรายได้ของโครงการ 15 สุขุมวิท เรสซิเดนซ์ ส่วนต้นปี 2561 จะเริ่มรับรู้รายได้โครงการเดอะ ฮาร์เบอร์ วิว เรสซิเด้นซ์ ส่วนปี 2562 จะเป็นเดอะ วัน รัชดา

หากมองภาพรวมแล้ว ไม่เพียงแต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเท่านั้นที่กลุ่มทีเอฟดีพร้อมกลับมาลุยรอบใหม่ แต่ทุกธุรกิจในเครือทีเอฟดี ก็พร้อมกลับมาลุยเช่นกัน ทั้งนิคมอุตสาหกรรม โรงงานขายและให้เช่า รวมถึงอาคารสำนักงาน