posttoday

ไทยสร้างไทยถาม แอปแจกเงินดิจิทัลและค่าธรรมเนียมแปลงเงิน เข้ากระเป๋าใคร?

04 พฤษภาคม 2567

"ไทยสร้างไทย" เตือนรัฐบาล นโยบายแจกเงินหมื่นไม่ส่งผลทางเศรษฐกิจระยะยาว ขอฟังเสียงปชช.แจกเป็นเงินสด ชี้นโยบายมีช่องส่อทุจริต ทั้งการใช้แอปใหม่ที่ทำให้รัฐสูญงบหลายพันล้าน ทั้งที่มีเป๋าตังค์ และค่าธรรมเนียมกู้เงินสดแปลงเป็นดิจิทัล เข้าไปกระเป๋าเงินใคร?

นายรณกาจ ชินสำราญ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย ย้ำถึงความกังวลต่อนโยบายเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งผู้มีอำนาจอ้างว่าจะก่อให้เกิด 4 พายุหมุนกระแทกเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท กระจายรายได้ไปทุกชุมชนว่า ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรู้คือนโยบายแจกเงินหมื่น มีผลกระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยเศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 1% กว่าๆ ของ GDP จากนั้นก็จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง จึงทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจจะหมุนเวียนเป็นพายุหมุนในระยะยาวเกิดขึ้นได้ยาก

พร้อมย้ำด้วยว่า ที่มาของงบประมาณ 500,000 ล้านบาทนั้น ไม่ตรงที่หาเสียงไว้กับประชาชน เพราะมาจากการกู้ ผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2 ปีงบประมาณ บวกกับการขอกู้ยืมจากธ.ก.ส. เป็นการสร้างหนี้สาธารณะที่มีมากอยู่แล้ว ให้กับเด็กเกิดใหม่ทุกคนเพิ่มอีก

ที่สำคัญการแจกเป็นดิจิทัลไม่แจกเป็นเงินสด ถือว่ารัฐไม่ฟังเสียงเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนที่แสดงความต้องการชัดเจนว่าอยากได้เงินสด เพื่อนำไปเป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดการสร้างอาชีพ ทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่ เพราะการทำระบบแอปพลิเคชันใหม่ ใช้เงินหลายพันล้าน ให้บริษัทใดทำ เป็นการเอื้อพวกพ้องหรือไม่? ธนาคารใหญ่ทำระบบหลายปีกว่าจะทำได้ นี่มีเวลาไม่กี่เดือน จะสำเร็จได้ยังไง? และเหตุใดไม่ใช้แอปพลิเคชัน เป๋าตังค์ ที่มีฐานประชากร 40 กว่าล้านคนอยู่แล้ว ? ซึ่งประชาชนก็มีความคุ้นเคย แถมมีค่าธรรมเนียมในการแลกเงิน 2 ต่อ จากการกู้เป็นเงินสดและแปลงเป็นเงินดิจิทัล และสุดท้ายต้องแปลงจากดิจิทัล กลับมาเป็นเงินบาท รัฐต้องสูญเสียงบประมาณอีกเท่าใด และให้บริษัทใดเป็นผู้ทำ ถ้าคิดค่าธรรมเนียมที่ 2% รัฐจะต้องสูญเสียงบประมาณแบบฟรีๆถึง 20,000 ล้านบาท เงินนี้ จะไปเข้ากระเป๋าใคร?

ดังนั้นหากรัฐบาลจริงใจต่อประชาชน ต้องฟังเสียงและความต้องการของพี่น้องประชาชน ควรรับฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย นักเศรษฐศาสตร์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งแนะนำว่าควรแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบางประมาณ 17-20 ล้านคน โดยแจกเป็นเงินสดเท่านั้น