posttoday

ซูเปอร์โพลชี้คนมอง "นักการเมือง"เป็นต้นเหตุรัฐประหาร

24 กันยายน 2560

ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจพบประชาชนไม่เอาารัฐบาลจากการเลือกตั้งเพราะคอร์รัปชัน ชี้นักการเมืองคือต้นเหตุรัฐประหาร

ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจพบประชาชนไม่เอาารัฐบาลจากการเลือกตั้งเพราะคอร์รัปชัน ชี้นักการเมืองคือต้นเหตุรัฐประหาร

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPERPOLL) ชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยผลสำรวจโพล เรื่อง อดีตภาพก่อนยุค คสช. สำรวจเงื่อนไขประชาชน ทำไมไม่เอารัฐบาลจากการเลือกตั้ง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทั้งสิ้น 1,194 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10-23 ก.ย. พ.ศ.2560 ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงภาพเก่าในอดีตก่อนยุค คสช. ถึงเงื่อนไขประชาชนไม่เอารัฐบาลจากการเลือกตั้ง พบว่า ร้อยละ 55.4 ระบุรัฐบาลในอดีตทุจริตคอร์รัปชัน รองลงมาคือ ร้อยละ 44.1 ระบุเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการระดับสูง เอาใจเอื้อประโยชน์รัฐบาลแลกตำแหน่งอำนาจและผลประโยชน์กัน ร้อยละ 41.6 ระบุนายกรัฐมนตรีในอดีตใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ ครอบครัว และพวกพ้อง ร้อยละ 39.9 ระบุแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง เอื้อประโยชน์ธุรกิจให้พ้นผิด นิรโทษกรรมสุดซอย

ร้อยละ 37.3 ระบุรัฐบาลนักการเมืองเป็นต้นเหตุขัดแย้งแตกแยกในหมู่ประชาชนเสียเอง ร้อยละ 30.6 ระบุรัฐบาลหลงอำนาจเกินขอบเขต แสดงนัยจะเปลี่ยนแปลงการปกครองที่มีมาช้านาน

ร้อยละ 30.0 ระบุการเมืองแทรกแซง องค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 25.8 ระบุเลือกปฏิบัติ จัดสรร ประชานิยมลงเฉพาะพื้นที่ฐานคะแนนเสียงของตนเอง ร้อยละ 21.4 ระบุสื่อมวลชนเลือกข้าง และร้อยละ 6.8 ระบุอื่นๆ ได้แก่ เกิดความขัดแย้งรุนแรงบานปลาย เกิดความแตกแยกกว้างขวาง สังคมไม่มีคุณภาพ นักการเมืองไร้จิตสำนึกที่ดี

เมื่อถามถึงใครเป็นต้นเหตุรัฐประหารในอดีต พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 72.5 ระบุนักการเมือง รองลงมาคือร้อยละ 54.9 ระบุกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ร้อยละ 50.3 ระบุกลุ่มหัวรุนแรงขบวนการสร้างความรุนแรง แบ่งแยกฝ่าย ร้อยละ 36.5 ระบุเจ้าหน้าที่รัฐข้าราชการไม่วางตัวเป็นกลางเลือกข้าง ร้อยละ 24.5 ระบุกลุ่มนายทุนร้อยละ 21.1 ระบุสื่อมวลชน ร้อยละ 16.5 ระบุหัวคะแนน ฐานเสียง และร้อยละ 15.0 ระบุนักวิชาการ ตามลำดับ

เมื่อถามถึงทัศนคติการสนับสนุนรัฐประหารในอดีต พบว่า เพียงร้อยละ 4.7 เท่านั้นที่สนับสนุนรัฐประหารโดยไม่มีเงื่อนไข ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 58.5 สนับสนุนในเงื่อนไขที่จำเป็น และร้อยละ 36.8 ไม่สนับสนุนเลย