posttoday

มติสนช.194เสียงเห็นชอบร่างกฎหมาย "กกต."

13 กรกฎาคม 2560

สนช. 194 เสียง เห็นชอบ ร่างพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.194 เสียง ด้าน กรธ.ยันไม่ได้เลือกปฏิบัติกับใคร

สนช. 194 เสียง เห็นชอบ ร่างพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.194 เสียง ด้าน กรธ.ยันไม่ได้เลือกปฏิบัติกับใคร

เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่รัฐสภา มีกาประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช.ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาลงมติร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลังจากที่คณะกรรมาธิการร่วม3 ฝ่าย ได้พิจารณาทบทวนข้อโต้แย้ง 6ประเด็นของกกต.เสร็จเรียบร้อยแล้ว

นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสนช. ในฐานะประธานกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ได้รายงานผลการพิจารณากรณีที่กกต.โต้แย้งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว 6 ประเด็นไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้แก่ 1.มาตรา11 วรรค3 การกำหนดคุณสมบัติของกรรมการสรรหาเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 2.มาตรา12 วรรค1 การกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 3.มาตรา26 หน้าที่และอำนาจของกกต.แต่ละคน 4.มาตรา 27 อำนาจการจัดการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น 5.มาตรา42 การบัญญัติให้กกต.มอบอำนาจการสอบสวนได้ 6.มาตรา70 วรรค1 การให้ประธานกกต.และกกต. ที่ดำรงตำแหน่งในวันก่อนที่พ.ร.บ.คณะกรรมการเลือกตั้งใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับจากวันที่พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ ซึ่งกมธ.ร่วม 3ฝ่ายประกอบด้วยสนช.  5 คน กรธ. 5 คน และประธานกกต. พิจารณาแล้ว มีมติเสียงข้างมากในแต่ละประเด็นว่า ไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และตรงตามเจตนารมณ์ทุกประการ จึงไม่มีการแก้ไขร่างที่สนช.ให้ความเห็นชอบแล้วแต่อย่างใด

จากนั้นนายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมาธิการร่วม 3ฝ่าย ได้อภิปรายประเด็นที่สงวนความเห็นทั้ง 6ประเด็นต่อที่ประชุม โดยยืนยันว่า แต่ละประเด็นมีความขัดแย้งต่อเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 70 วรรค1 ที่ระบุให้กกต.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับจากวันที่ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ถือว่า ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญมาตรา 267 วรรค2 และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ประเพณีรัฐธรรมนูญ   รวมทั้งเป็นการออกกฎหมายแบบเลือกปฏิบัติเพราะองค์กรอิสระอื่นอาทิ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.ยังสามารถอยู่ในตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้

นายศุภชัย กล่าวว่า กมธ.ได้แก้ไขเนื้อหาที่เป็นหลักการสาระสำคัญของกรธ.  โดยมิได้รับฟังเหตุผลให้รอบด้านจากผู้เกี่ยวข้อง และไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา การให้กกต.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเป็นการจำกัดและลิดรอนสิทธิบุคคลมากเกินไป  เราไม่ได้ต่อสู้เพื่อการคงอยู่ของกกต.อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตน  แต่ในฐานะนักกฎหมาย เมื่อเห็นว่า ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญจึงต้องโต้แย้ง กกต.ต้องรักษาศักดิ์ศรี แม้จะรู้ล่วงหน้าว่าผลจะออกมาอย่างไร สนช.เป็นผู้ออกกฎหมายภายใต้หลักนิติธรรม จึงขอให้พิจารณาทบทวนร่างพ.ร.บ.กกต.อีกสักครั้ง

ขณะที่นายปกรณ์ นิลประพันธ์ กรรมการกรธ. ในฐานะกรรมาธิการร่วม 3ฝ่ายเสียงข้างมาก ชี้แจงต่อที่ประชุมสนช.ว่า สิ่งที่กมธ.ร่วมลงมติไป ไม่ได้ยึดตัวบุคคล  แต่ยึดเจตนารมณ์และหลักการเป็นตัวตั้ง การลงมติเป็นไปด้วยจิตใจสะอาด สว่าง สงบ ปราศจากอคติในการใช้ดุลยพินิจ เป็นไปตามหลักการและเหตุผล บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุให้องค์กรอิสระต้องคงอยู่ต่อไป แต่ให้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและองค์ประกอบขององค์กรอิสระแต่ละแห่งว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ไม่อยากให้มองว่าการดำรงอยู่ในตำแหน่งเป็นเรื่องสิทธิ ถ้ามองเป็นเรื่องสิทธิก็จะคงอยู่ตลอดไป แต่ขอให้มองเป็นเรื่องการอาสามาปฏิบัติหน้าที่ และการให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 70 วรรค1 ไม่ใช่การลงโทษ เพราะมีการระบุชัดเจนให้ผู้พ้นตำแหน่งได้รับบำเหน็จจากการพ้นการปฏิบัติหน้าที่  หากเป็นการลงโทษคงไม่ระบุเรื่องนี้ไว้ และไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม แต่เป็นความจำเป็นเมื่อมีการปรับโครงสร้างองค์กร ไม่ใช่การออกกฎหมายย้อนหลังโดยเป็นโทษ 

ทั้งนี้ ภายหลังทุกฝ่ายชี้แจงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ประชุมสนช.ลงมติให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้งด้วยคะแนน 194 ต่อ 0 งดออกเสียง7  ส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ถือเป็นร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่สนช.ให้ความเห็นชอบและเสร็จสิ้นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนด