posttoday

ศาลแพ่งสั่งเพิกถอนคำสั่งเนรเทศ"สาธิต เซกัล"

30 กันยายน 2559

ศาลแพ่งพิพากษาเพิกถอนคำสั่งศรส.เนรเทศนักธุรกิจอินเดีย"สาธิต เซกัล"ชี้กระบวนการไม่เป็นไปตามขั้นตอนกม.มีลักษณะส่อไปในทางเลือกปฏิบัติไม่สุจริต

ศาลแพ่งพิพากษาเพิกถอนคำสั่งศรส.เนรเทศนักธุรกิจอินเดีย"สาธิต เซกัล"ชี้กระบวนการไม่เป็นไปตามขั้นตอนกม.มีลักษณะส่อไปในทางเลือกปฏิบัติไม่สุจริต

เมื่อวันที่ 30 ก.ย.57 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก เวลา 09.15 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ 984/2557 ที่นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดีย แนวร่วมกลุ่มกปปส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตผอ.ศรส.และคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิด กรณีมีคำสั่ง ศรส. เมื่อเดือนก.พ.57 ให้เพิกถอนถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรของนายสาธิต เนื่องจากได้ร่วมชุมนุม กปปส.ปิดสถานที่ราชการ และให้ออกนอกราชอาณาจักรโดยมิชอบ โจทก์จึงขอให้ศาลเพิกถอนมติหรือคำสั่งที่ ศรส.เพิกถอนถิ่นที่อยู่ดัง กล่าว

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว คดีนี้มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยที่ 81/2556 และคำวินิจฉัยที่ 15/2557 ว่าการชุมนุมของกลุ่มกปปส. เป็นการใช้สิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลสืบเนื่องมาจากการไม่พอใจการทำหน้าที่ของรัฐบาล และคัดค้านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550 มาตรา 216 วรรคห้าบัญญัติให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเด็ดขาดต้องผูกพันรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) ศาล และองค์กรของรัฐ ดังนั้น ศาลยุติธรรมจึงย่อมผูกพันกับคำสั่งดังกล่าวการชุมนุมของโจทก์ และกปปส.จึงได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
 
ส่วนกระบวนการของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ได้ความว่า การพิจารณาครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ก.พ.57 เกี่ยวกับพฤติการณ์ชุมนุม และปราศรัยของโจทก์ เห็นว่าเนื้อหาปราศรัยเป็นการเทิดทูนสถาบันและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ที่โจทก์ได้มาพำนักอยู่ในประเทศไทย ดังนั้น การปราศรัยของโจทก์ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง

ขณะที่การนำสืบยังได้ความอีกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ก.พ.57 ได้มีการนำเรื่องนี้มาพิจารณาใหม่โดยให้มีการลงมติลับเพื่อพิจารณาเพิกถอนถิ่นที่อยู่ของโจทก์ และต่อมา พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสมช.ขณะนั้น ได้ทำบันทึกเสนอ จำเลยที่ 2 พิจารณาเพิกถอนถิ่นที่อยู่ของโจทก์ ขั้นตอนการพิจารณาไม่ได้เปิดโอกาสให้ตัวโจทก์เข้าชี้แจงหรือทำการโต้แย้งกระทั่งมีการออกคำสั่งเพิกถอนถิ่นที่อยู่โจทก์ กระบวนการพิจารณาดังกล่าวจึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย มีลักษณะส่อไปในทางเลือกปฏิบัติไม่สุจริต ขณะที่ได้ความจากเจ้าหน้าที่กองบินพลเรือนด้วยว่า พฤติการณ์โจทก์ ที่ร่วมกับกลุ่ม กปปส.ชุมนุมที่หน้าสำนักงานหลังจากมีการปราศรัยฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้เชิญโจทก์และกลุ่มกปปส.เข้าไปในบริเวณสำนักงาน โดยโจทก์ไม่ได้เป็นผู้นำโซ่ และกุญแจคล้องประตูรั้ว การกระทำของโจทก์ดังกล่าวก็ไม่ใช่การบุกรุกสถานที่ราชการ
 
นอกจากนี้ ศาลแพ่ง ยังมีคำพิพากษาคดีที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. ยื่นฟ้อง ขอให้ศาลเพิกถอนประกาศและข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่รัฐบาลได้ออกตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยศาลแพ่ง ห้ามจำเลยนำประกาศ และข้อกำหนด ซึ่งได้มีการบัญญัติเกี่ยวกับการเพิกถอนถิ่นที่อยู่ชาวต่างด้าวมาบังคับใช้ ดังนั้น การกระทำของจำเลยในการมีมติเพิกถอนถิ่นที่อยู่โจกท์ จึงไม่ถูกต้องตามขั้นตอน อีกทั้งยังฝ่าฝืนคำพิพากษาศาลแพ่งดังกล่าวด้วย และยังไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนถิ่นที่อยู่โจทก์ตามพ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 12 (7) จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยดังกล่าว

นายสาธิต เซกัล กล่าวว่า ขอขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งเชื่อมั่นในระบบศาลมาตั้งแต่อยู่ในแผ่นดินไทย ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทยก็คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรเพื่อตอบแทนบุญคุณในหลวงและแผ่นดินไทย

"ผมไม่มีนอกมีในไม่ใช่แกนนำกลุ่มกปปส. แต่สิ่งที่กระทำเพื่อให้คนไทยภูมิใจและเทิดทูนสถาบัน ครั้งแรกที่มีคำสั่งและถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อสังคมและชาติรู้สึกงง ทั้งที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคมมาตลอดและยังเคยได้รับเกียรติให้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีด้วย 1 สมัย จากนี้ จะปฏิบัติหน้าที่และทำกิจกรรมเพื่อสังคมตอบแทนประเทศต่อไป ซึ่งมีความตั้งใจจะจัดพิมพ์พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระราชินีฯ ใส่กรอบ จำนวน 1 ล้านฉบับแจกจ่ายให้ประชาชน ดำเนินการในนาม ชมรมเทิดทูนพระมหากษัตริย์ที่เป็นผู้ริเริ่มและจะเชิญผู้ใหญ่มาร่วมด้วย" นายสาธิต กล่าว 
 
วันนี้นายสาธิต ได้เดินทางมาพร้อมกับนายอาทิตย์ น้องชาย และผู้ใกล้ชิด ขณะที่จำเลยทั้งสามไม่ได้เดินทางมา มีเพียงผู้แทน รับมอบอำนาจ มาฟังคำพิพากษาเท่านั้น