ไฟมิอาจดับไฟ
มองในแง่ความรุนแรง เหตุการณ์ลอบวางระเบิดศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปีก่อนนั้นถือว่ารุนแรงมาก
โดย...อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์
มองในแง่ความรุนแรง เหตุการณ์ลอบวางระเบิดศาลพระพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปีก่อนนั้นถือว่ารุนแรงมาก เพราะจงใจเลือกสถานที่และช่วงเวลาที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่หากพูดถึงผลสะเทือนแล้ว ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์วินาศกรรมเมืองท่องเที่ยว 7 จังหวัดครั้งนี้สร้างความน่าสะพรึงกลัวได้มากกว่า
แม้เป้าหมายจะเป็นเมืองท่องเที่ยว แต่ก็กระจายในหลายจังหวัด แสดงให้เห็นว่ามีผู้ก่อเหตุร่วมกันเป็นขบวนการ สถานที่ก่อเหตุก็หลากหลายทั้งย่านท่องเที่ยว ตลาดนัด สถานที่ราชการ รวมทั้งพื้นที่จัดกิจกรรม ทำให้ยากคาดการณ์ว่ายังมีสถานที่ใดที่จะไม่ตกเป็นเป้าหมายของผู้ก่อเหตุ
ใครทำ ทำไปเพื่ออะไร? แม้จะเป็นปริศนาที่ทุกคนต้องการรู้คำตอบ แต่ก็ไม่สำคัญไปกว่าคำมั่นที่ยืนยันได้ว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก มาตรการดูแลความปลอดภัยของรัฐบาล คำมั่นที่จะดูแลสถานการณ์ให้กลับสู่ความสงบเรียบร้อย เป็นสิ่งที่ต้องชื่นชม แม้จะยังไม่มีคำตอบชัดว่า ใครทำ และทำไปเพื่ออะไร
หากเป้าหมายของการก่อการร้ายคือทำลายวิถีชีวิต การปกป้องและฟื้นคืนวิถีชีวิตของสังคมจึงเป็นลำดับแรกที่ต้องเร่งทำให้เห็นผล สร้างความเชื่อมั่นอย่างจริงจัง ซึ่งอาจจะเป็นการต่อต้านการก่อการร้ายที่ได้ผลมากกว่าการไล่จับผู้ก่อเหตุ
แน่นอนว่า ความเชื่อมั่นของประชาชน ความเชื่อมั่นของสังคม ย่อมทำให้อำนาจรัฐเข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้การปกป้องดูแลความสงบเรียบร้อยมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่สำหรับสังคมที่ตั้งคำถามในทุกสิ่งกับอำนาจรัฐ การจัดวางลำดับเหตุผลเพื่อสื่อสารกับสังคม อาจเป็นความสำคัญลำดับต้นๆ ความมั่นใจอาจไม่ได้มาจากมาตรการที่เข้มงวด รัดกุม การทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย แต่มาจากความเชื่อ
หลังเหตุการณ์ลอบวางระเบิดสี่แยกราชประสงค์เมื่อปีก่อน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นออกอาการโมโหฉุนเฉียวอย่างรุนแรง เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะให้ความมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ต้องหาที่จับกุมมาได้นั้นเป็นตัวจริง ไม่ใช่แพะ
นอกจากอารมณ์โกรธเกรี้ยว อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ไม่มีคำตอบ ไม่มีคำอธิบายใดๆ
ท่ามกลางความเคลือบแคลงสงสัย รัฐต้องอธิบาย มิใช่คุกคาม ปิดกั้นคำถาม
กลับมาที่เหตุการณ์วินาศกรรม 7 จังหวัดในครั้งนี้ แม้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันจะรีบตั้งโต๊ะแถลงข่าว แต่ก็ไม่ได้ให้ความมั่นใจใดๆ กับสังคมมากนัก ทั้งประเด็นปมเงื่อนการก่อเหตุ ซึ่งแม้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะบอกว่ามาจากปมการเมือง แต่ก็ยอมรับว่าเป็นความมั่นใจจากประสบการณ์ที่ผ่านงานความมั่นคงมา ยังมิใช่ความมั่นใจจากพยานหลักฐาน พร้อมรับว่าอาจจะผิดก็ได้
แต่ในแง่มุมที่คล้ายกัน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบันกลับตั้งคำถามไปถึงเอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ให้ออกมาปกป้องสิทธิของประชาชนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการกระทำของคนร้าย
ความหวาดกลัวต่อเหตุระเบิด 7 จังหวัดยังไม่หายไปจากความรู้สึกของสังคมไทย คำพูดของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกลับสร้างความรู้สึกแบ่งแยก เพิ่มรอยร้าวในสังคมเข้าไปอีก
บางทีสิ่งที่สังคมไทยขาดแคลนอาจไม่ใช่ประสิทธิภาพของหน่วยงานต่างๆ อาจไม่ใช่ผู้นำที่มีความสามารถ อาจไม่ใช่กำลังคน เครื่องไม้เครื่องมือ เทคโนโลยี แต่อาจเป็นความเข้าใจต่อบทบาทที่สอดคล้องกับสถานการณ์ ผ่านกระบวนการสื่อสารกับสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมที่จะร่วมกันฝ่าวิกฤต
แข็งกร้าวเด็ดขาด หรือสุขุม อาจเป็นแค่บุคลิกภายนอก การเลือกใช้อย่างเหมาะสมกับโอกาส ย่อมสะท้อนถึงการเป็นผู้มีความสามารถที่แท้จริง


