กรธ.ปิดประตูสภาผัวเมีย หวังเห็นผู้สมัครสว.มีอิสระ
กรธ.ปิดประตูสภาผัวเมียสมัครสว. ยกผลโพลคัดค้าน ป้องกันการตั้งอาณาจักรการเมือง วางกฏ สว.ต้องเป็นกลาง ฝ่าฝืนเจอศาลรัฐธรรมนูญสอย
กรธ.ปิดประตูสภาผัวเมียสมัครสว. ยกผลโพลคัดค้าน ป้องกันการตั้งอาณาจักรการเมือง วางกฏ สว.ต้องเป็นกลาง ฝ่าฝืนเจอศาลรัฐธรรมนูญสอย
นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แถลงว่า คณะกรธ.ได้พิจารณาเนื้อหาเกี่ยวกับที่มาสว. ซึ่งเห็นชอบให้สว.มีจำนวน 200 คน มาจากการเลือกกันเองจากกลุ่มบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ จำนวน 20 กลุ่ม มีวาระดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 5 ปี และเป็นสว.ได้ครั้งเดียวเท่านั้น โดยเมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาเป็นสว.ได้อีกตลอดชีวิต
"กรธ.เห็นว่าการให้สว.มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปีจากเดิมที่รัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ให้มีวาระ 6 ปี เพราะปัจจุบันโลกและความรู้ได้มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงมองว่าไม่ควรให้มีการสลับสับเปลี่ยนบุคคลอื่นๆมาเป็นสว.บ้าง ประกอบกับวาระ 5 ปีของสว.ที่กรธ.กำหนดขึ้นมาก็ไม่ได้ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติเกิดภาวะสุญญากาศแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการให้เป็นสว.ได้ครั้งเดียวในชีวิต เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นสภาพลเมือง จึงควรเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความหลากหลายมีโอกาสสลับกันเข้ามาทำหน้าที่"นายชาติชาย กล่าว
นายชาติชาย กล่าวว่า ที่สำคัญคณะกรธ.ไม่ให้บุคคลที่เป็นบุพการี คู่สมรส บุตร ของผู้ที่เป็นสส. ข้าราชการการเมือง หรือ สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น จะลงสมัครสว.ไม่ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งเดิมทีคณะกรธ.กำหนดให้เครือญาติของสส.ลงสมัคร เพราะมองในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่เมื่อมีผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะจากนิด้าโพลที่พบว่าประชาชน 60% ไม่เห็นด้วยกับการให้เครือญาติของนักการเมืองลงสมัครสว. ทำให้คณะกรธ.ต้องแก้ไขตามความคิดเห็นของประชาชน
"เป็นการยืนยันว่าจะต้องการให้ผู้มาสมัครสว.มีอิสระจริงๆ ป้องกันการยกโขยงเข้ามาสมัคร อย่างอำเภอหนึ่งมาสมัครกันเป็นตระกูล ประกอบกับมีการวิจัยพบว่าสังคมไทยเป็นสังคมพรรคพวก สังคมญาติโกโหติกาค่อนข้างสูง ทำให้กรธ.ต้องปรับแก้ไข เพราะมิเช่นนั้นอาจเป็นการสร้างอาณาจักรทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย" นายชาติชาย กล่าว
โฆษกคณะกรธ. กล่าวว่า นอกจากนี้คณะกรธ.ยังได้กำหนดเนื้อหาเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งของสว.ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรณีการขาดประชุมเกินจำนวน 1ใน4ของวันประชุมในแต่ละสมัยประชุม เป็นต้น นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้สส.หรือสว.จำนวนไม่น้อยกว่า 1ใน10 มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือ ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสส.หรือสว.หมดสมาชิกสภาพหรือไม่ โดยถ้าศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาแล้วสส.หรือสว.ที่เป็นผู้ถูกร้องต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และในบางกรณีหากเป็นความผิดต่อหน้าที่อาจจะต้องมีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปีด้วย
"หากสว.ไม่วางตัวเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ไป ยอมให้ตนเองอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด จะเป็นผลให้สว.ผู้นั้นพ้นจากสมาชิกสภาพการเป็นสว.เช่นกัน ซึ่งสามารถร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติได้ แต่จะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน" นายชาติชาย กล่าว
โฆษกกรธ. กล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้งสส.นั้นคณะกรธ.ยังพิจารณาไม่เสร็จ เพราะอยู่ในระหว่างการกำหนดตัวเลขจำนวนประชากรต่อสส.หนึ่งคน แต่เบื้องต้นได้สรุปให้สส.จำนวนสส.500 คน แบ่งเป็นสส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 350 คน และ สส.ระบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดยจะเป็นการเลือกตั้งด้วยบัตรเลือกตั้งหนึ่งใบ พร้อมกับประธานสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นประธานรัฐสภา ส่วนประธานวุฒิสภาจะเป็นรองประธานรัฐสภา โดยไม่ให้ตำแหน่งรองประธานสภาฯมาจากฝ่ายค้าน


