ไพบูลย์แถลงที่ประชุมมีมติถอดยศ "ทักษิณ"
ไพบูลย์แถลงที่ประชุมยธ.-หน่วยงานเกี่ยวข้องมีมติถอดยศ "ทักษิณ" หลังไม่พบติดข้อกฎหมาย
ไพบูลย์แถลงที่ประชุมยธ.-หน่วยงานเกี่ยวข้องมีมติถอดยศ "ทักษิณ" หลังไม่พบติดข้อกฎหมาย
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. เวลา 15.30. น. ที่กระทรวงยุติธรรม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ประกอบด้วย นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ที่ปรึกษา (สบ.10) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมตัวแทนจากสำนักงานคณะกรรมการฤษฎีกา โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวภายหลังการประชุมว่า จากการพิจารณาตามข้อกฎหมายและหลักการ โดยที่ประชุมมีมติให้สามารถถอดถอนยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เนื่องจากเข้าหลักเกณฑ์ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศ พ.ศ. 2547 ซึ่งกฤษฏีการะบุว่า ระเบียบดังกล่าวสามารถใช้กับบุคคลที่ยังรับราชการและอยู่นอกราชการ รวมทั้งบุคคลซึ่งมียศเป็นตำรวจนอกราชการได้ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ในราชการตำรวจ และเคยตอบมาแล้วเมื่อปี 2554 ส่วนเรื่องที่สงสัยว่า กสนประกาศถอดยศจำเป็นต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือไม่นั้น สรุปได้ว่าไม่จำเป็นพราะเป็นเรื่องภายในราชการตำรวจ
ทั้งสองประเด็นนี้สตช.ได้เคยสอบสวนเมื่อปี 2552-2553-2554 และได้ลงมติเรื่องการถอดยศมาแล้ว และในปี 2554 ก็มีคำวินิจฉัยของสตช.ว่า ผิดในข้อ (2) ต้องคำพิพากษาศาลถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุกเว้นแต่ความผิดละหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ซึ่งพิจารณาถอดยศได้ ต่อมาก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เพื่อสอบถามว่าทำไม ไม่ทำให้ครบในข้อ 6 ประเด็นการหลบหนี ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกัน
อีกประเด็น คือ คณะทำงานได้พิจารณาประเด็น การประกาศรายชื่อตำรวจในราชกิจจานุเบกษา ตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 ซึ่งทางสำนักตำรวจแห่งชาติ ได้หนังสือไปยังกฤษฎีกา ว่า พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ได้บังคับใช้ก่อน ระเบียบการถอดยศ ปี 2547 ทั้งนี้กฤษฎีกาตอบกลับว่าทำได้ เพราะเป็นเรื่องภายใน และเมื่อถามเรื่องนี้ทางสตช.ได้ใช้การถอดยศไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 จำนวน 632 คน โดยไม่ประกาศรายชื่อใน ราชกิจจาฯ ส่วนกรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ มีมติถอดยศมาแล้วตั้งแต่ปี 2552-2558
"การประกาศถอดยศไม่ได้มีการประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา แต่เป็นการประกาศใช้ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้มีการประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2547 ดังนั้น ในกฎหมายดังกล่าวสามารถใช้ได้กับทุกคน เนื่องจากระเบียบข้อนี้มีการตีความแล้วใช้กับทุกคนที่รับราชการและไม่ได้รับราชการ" พล.อ.ไพบูลย์
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ระเบียบข้อดังกล่าวได้ใช้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว 632 นาย ก็ไม่มีเหตุใดที่จะไม่ต้องใช้ต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องของผบ.ตร. เป็นเรื่องของกระบวนการภายใน สตช. ซึ่ง ผบ.ตร.ก็มีหนังสือไปถึงคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร โดยผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แจ้งมาว่า อาจใช้ดุลพินิจในการรอคำตอบ เพราะตนไม่มีอำนาจในการสั่งการผบ.ตร.ได้ แต่คณะกรรมการชุดนี้เห็นว่า ไม่มีเหตุอันใดที่จะละเว้นในการที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบหน้าที่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และขณะเดียวกันก็ทราบว่ามีข้าราชการตำรวจทั้งในและนอกราชการ ซึ่งได้ดำเนินการให้เท่าเทียมกันกับทุกคน หลังจากนี้จะทำหนังสือรายงานถึงนายกรัฐมนตรีว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีจะสั่งการต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการมีหน้าที่พิจารณาเพียงว่าสามารถถอดถอนยศของพ.ต.ท.ทักษิณได้หรือไม่ ส่วนประเด็นอื่นๆเป็นหน้าที่ของผบ.ตร. ซึ่งตนไม่ได้มีหน้าที่พิจารณาด้วยว่าจะต้องมีกรอบเวลาในการถอดหรือไม่อย่างไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามพล.ต.อ.ชัยยะว่า ได้มีการนำข้อมูลสถิติดังกล่าวไปรายงานให้ผบ.ตร.ทราบหรือไม่ พล.ต.อ.ชัยยะ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ได้มีการนำข้อมูลดังกล่าวรายงานให้ผบ.ตร.ได้ทราบมาโดยตลอด กรณีที่ตนเป็นประธานคณะอนุกรรมการได้มีมติในการพิจารณาเนื้อหาสาระเกี่ยวเนื่อง โดยเข้าองค์ประกอบความผิดทั้ง 6 ข้อ ตามระเบียบการถอดยศ หรือพฤติกรรม ซึ่งได้เสนอไป แต่อำนาจการถอดยศเป็นดุลพินิจของผบ.ตร.


