posttoday

ECF แตกเพื่อโต

22 พฤษภาคม 2560

บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) บริษัทที่มีธุรกิจหลักแรกเริ่ม คือการทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราเพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศบางส่วน ตัดสินใจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อเดือน มี.ค. 2556 และจนถึงขณะนี้ ECF มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีการเติบโตที่ดี และแตกไลน์เข้าสู่การทำธุรกิจอื่นๆ ทั้งธุรกิจร้านค้าปลีกในแบรนด์ Can Do แฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น และการรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือก อย่างโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีวัตถุดิบหลักในการผลิตจากเศษไม้ยางพารา และกำลังขยายไปสู่โรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ด้วย

บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) บริษัทที่มีธุรกิจหลักแรกเริ่ม คือการทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราเพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศบางส่วน ตัดสินใจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เมื่อเดือน มี.ค. 2556 และจนถึงขณะนี้ ECF มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีการเติบโตที่ดี และแตกไลน์เข้าสู่การทำธุรกิจอื่นๆ ทั้งธุรกิจร้านค้าปลีกในแบรนด์ Can Do แฟรนไชส์จากประเทศญี่ปุ่น และการรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือก อย่างโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีวัตถุดิบหลักในการผลิตจากเศษไม้ยางพารา และกำลังขยายไปสู่โรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ด้วย

ธุรกิจในวันนี้เติบโตจากวิสัยทัศน์ของ อารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นเอง โดยในธุรกิจหลักที่ถนัดก็จะบุกเต็มสูบ ส่วนธุรกิจที่จำเป็นจะต้องมีพันธมิตรก็จะใช้วิธีในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เช่น การทำธุรกิจพลังงานทดแทนก็จะร่วมทุนกับทาง บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ (FPI) ในการจัดตั้ง บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี
โฮลดิ้งส์ (SAFE) ในการดำเนินการ

อารักษ์ บอกว่า แนวโน้มธุรกิจของ ECF ช่วงต่อจากนี้จะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ร้านค้าปลีก Can Do ธุรกิจพลังงานทดแทน ที่จะสนับสนุนให้รายได้รวมปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ท่ามกลางสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน  และบริษัทก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตให้ได้ในอัตรา 10-15%

“ไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้ 409.75 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดและกำไรสุทธิ 18.63 ล้านบาท จากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ที่มียอดขายเติบโตสูงขึ้นจากในประเทศที่เติบโตประมาณ 21% ในขณะที่รายได้ส่งออกยังสามารถรักษาระดับรายได้ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าต่างประเทศ 59% ภายในประเทศ 41% และคาดว่าตลาดต่างประเทศครึ่งปีหลังจะมีสัญญาณการเติบโตที่ดีจากกลุ่มลูกค้าหลักในญี่ปุ่นที่จะมีปริมาณการสั่งซื้อมากขึ้นและมีลูกค้ารายใหม่เพิ่ม” 

อย่างไรก็ตาม ในการทำธุรกิจนั้นสมัยนี้จำเป็นมากที่เราจะต้องมีพันธมิตรเพื่อร่วมกันทำธุรกิจ เพราะเราไม่ได้ทำธุรกิจเฉพาะแข่งในประเทศ แต่จะต้องแข่งกับบริษัทข้างนอก

“กรณีของ ECF และ FPI ที่ร่วมกันตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาทำพลังงานทดแทน จะมีการแชร์กันทั้งในด้านของความคิด ด้านการเงิน ด้านเทคนิคต่างๆ ร่วมกัน เพราะในความเป็นจริงเราทำเองทุกอย่างไม่ได้ แต่ถ้าหากมีพันธมิตรที่ดีก็จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน” อารักษ์ ระบุ

สำหรับการร่วมพันธมิตรกันและประสบความสำเร็จร่วมกันอันดับแรกๆ เลยคือ อยู่ที่ความตั้งใจ ความซื่อสัตย์ และที่สำคัญ ความมุ่งมั่นในการทำงาน ซึ่งถ้ามีองค์ประกอบแบบนี้ก็เชื่อแน่ว่าการร่วมกันจะประสบความสำเร็จ

ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจพลังงาน ล่าสุด บริษัท อีซีเอฟ พาวเวอร์ (ECF-Power) บริษัทย่อยของบริษัทได้รับมติจากคณะกรรมการบริษัท เพื่อเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ ของ บริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) (GEP) ณ เมืองมินบู รัฐมาเกวย ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญของ GEP ในสัดส่วน 20% ทั้งนี้อยู่ระหว่างรอมติอนุมัติการเข้าลงทุนดังกล่าวจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่จะจัดขึ้นในวันที่ 31 พ.ค. 2560 นี้ การรุกธุรกิจนี้ถือว่าเป็นธุรกิจที่มีโอกาสและสร้างรายได้ประจำให้กับธุรกิจ  และเมื่อในบริษัทมีกำลังผลิตรวมตามคาดหวัง คือ 30-40 เมกะวัตต์ ที่มากพอในอนาคตก็จะแยกตัวออกมาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นโครงการที่ดี เช่นที่ จ.นราธิวาส มีกำลังผลิตติดตั้ง 7.5 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นโรงไฟฟ้าที่จะสร้างรายได้ต่อปีให้กับบริษัทประมาณ 75 ล้านบาท/ปี

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทนนั้น บริษัทยังสนใจที่จะขยายไปสู่การทำโรงไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาเข้าซื้อโรงไฟฟ้าแห่งอื่นๆ อยู่ด้วย โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่มีแกลบเป็นเชื้อเพลิง ที่ได้รับผลกระทบจากราคาแกลบแพงที่บริษัทสนใจอยู่

อารักษ์ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ก็น่าจะเติบโตดีตามการส่งออกของประเทศที่ดีขึ้นมาก  และแนวโน้มไตรมาส 2 การส่งออกยังดี จึงมองว่าธุรกิจนี้น่าจะมียอดขายประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในประเทศ ECF เน้นการทำตลาดของทุกแบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างหลากหลาย รวมถึงจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและเพิ่มจำนวนสินค้าใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าผ่านทุกช่องทางการจัดจำหน่าย อีกทั้งยังมีแผนขยายสาขาแบรนด์ ELEGA โดยปัจจุบันมี 17 สาขา พร้อมกับการขยายสาขาแบรนด์ FINNA HOUSE เพื่อจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ภายใต้ลิขสิทธิ์ DISNEY เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมี 5 สาขา รวมถึงโอกาสเพิ่มยอดขายตามการขยายสาขาของกลุ่มโมเดิร์นเทรด

ขณะที่ร้านค้าปลีกรูปแบบร้าน 100 เยน (60 บาท) “Can Do” ปัจจุบันมีสาขารวม 7 แห่ง ได้แก่ ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เดอะ พาซิโอ พาร์ค กาญจนาภิเษก, โฮมโปร รัตนาธิเบศร์, โฮมโปร ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลีฟวิ่ง มอลล์ บางใหญ่ และลิตเติ้ล วอล์ค บางนา ในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 3 สาขา และตามเป้าหมายอยากขยายให้ได้ 20-30 สาขาในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดในรูปแบบแฟรนไชส์ 50 สาขา ซึ่งการขยายสาขาจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะเพิ่มยอดขายให้เติบโตได้ต่อเนื่อง

อนาคตทุกธุรกิจที่ ECF ดำเนินการอยู่มีโอกาสที่จะเติบโต และหากดูผลดำเนินงานนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มาจนถึงปัจจุบันก็เติบโตต่อเนื่อง ปี 2556 มีรายได้ 1,193.31 ล้านบาท ปี 2557 มีรายได้ 1,235.32 ล้านบาท ปี 2558 มีรายได้ 1,358.3 ล้านบาท และปี 2559 มีรายได้ 1,427.74 ล้านบาท ส่วนปี 2560 ECF มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจที่ดีขึ้น การส่งออกที่ขยายตัว ธุรกิจพลังงานทดแทนจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

ขณะที่ราคาหุ้นเองปัจจุบันขึ้นมาซื้อขายที่ 3.50 บาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เกือบ 2,000 ล้านบาท

4 ปีในฐานะ บจ. 4 ปีที่ได้โอกาสจากทุน ECF วันนี้แตกเพื่อโตอย่างแข็งแกร่ง

ข่าวล่าสุด

"อรรถพล" สั่งประสานเดินเครื่องโรงไฟฟ้าขยะแก้ปัญหาขยะล้นเมือง