ทุกข์คนเมือง! ผู้ใช้รถไฟฟ้าร้องคนล้นสถานีบางซื่อต่อคิวยาวเหยียด"วอนแก้ปัญหาด่วน"
เสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน เมื่อสถานีบางซื่อเกิดปัญหาความหนาแน่นของผู้คนในเวลาเร่งด่วน
เสียงสะท้อนจากผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน เมื่อสถานีบางซื่อเกิดปัญหาความหนาแน่นของผู้คนในเวลาเร่งด่วน
การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ในช่วงเวลาเร่งด่วน 7.30 น. - 8.30 น. กำลังกลายเป็นปัญหาสำหรับชาวกรุงที่ต้องอาศัยการเดินทางด้วยพาหนะชนิดนี้ ภายหลังปรากฎภาพผู้โดยสารจำนวนมากยืนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อเข้าสู่ชานชาลา
ความสะดวกรวดเร็วที่สูญเสียไปในการเดินทางกำลังนำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคม
ณิชนันท์ ตัญธนาวิทย์ หนึ่งผู้โดยสารขาประจำของรถไฟฟ้าใต้ดิน ได้ตั้งแคมเปญออนไลน์ผ่าน Change.org เว็บสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ในหัวข้อ “ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ขอแนวทางแก้ไขปัญหาคนล้นสถานี MRT บางซื่อช่วงเช้า”
เธอให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ว่า ปัญหาเกิดจาก ประตูผ่านเข้าชานชาลาสถานีที่มีเพียง 3 ช่อง ส่งผลให้ความคล่องตัวในการเข้าสถานี (passenger flow) มีน้อย หรือบางครั้งแทบจะเรียกว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับคนจำนวนมาก ต่อให้ตื่นเช้า เร่งรีบออกจากบ้านมาแค่ไหน ก็ต้องเสียเวลาอย่างน้อย 10 นาทีหรือมากกว่านั้นในการต่อแถวเข้าคิว ยิ่งหากไม่มีบัตรรถไฟฟ้าหรือเงินในบัตรไม่เพียงพอ ก็ต้องเดินไปต่อคิวเติมเงินก่อน แล้วค่อยเดินย้อนกลับมาต่อแถว
“เข้าใจว่าสถานีต้องจำกัดการไหลเวียนของผู้โดยสารในชั้นชานชาลา เพราะสถานีด้านล่างไม่ได้มีบริเวณกว้างมากนัก ถ้าปล่อยผู้โดยสารเข้ามาเยอะ สถานีก็จะมีสภาพล้นเหมือนด้านบน แต่การปล่อยให้ผู้โดยสารต้องเสียเวลาเดินทางทุกเช้ากับการต่อคิวยาวเหยียด ก็ทำให้อดคิดและสงสัยไม่ได้ว่า รฟม. จะมีแผนการรองรับการเติบโตของสถานีที่สอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า เพราะอนาคตสถานีบางซื่อกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงผู้คนจากภาคต่างๆ เข้ามายังกรุงเทพฯ”
ณิชนันท์ เสนอให้แก้ไขง่ายๆ ในระยะสั้นที่ "อาจจะ" เป็นไปได้ อย่าง การเพิ่มตู้ให้บริการเติมเงินอัตโนมัติ ตู้ขายเหรียญโดยสาร เพื่อผู้โดยสารจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินไปถึงช่องขายตั๋วด้านหน้า และเดินย้อนวกกลับมาต่อแถวที่ยาวไปเรื่อย หรือเพิ่มประตูพิเศษในช่วงเวลาเร่งด่วน ขณะที่ในระยะยาว ทาง รฟม. ควรหาทางแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับการเดินทางของผู้คน ให้เข้ากับคำขวัญของ รฟม. ที่ว่า "เรายกระดับชีวิตคนเมือง" ด้วยเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวโพสต์ทูเดย์ได้ลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศสถานีรถไฟฟ้าบางซื่อในช่วงเวลาเร่งด่วน พบว่า มีพนักงานเปิดขายตั๋วให้บริการ 4 ช่อง เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติให้บริการ 3 ช่อง ปัญหาใหญ่หลวงที่สุดสอดคล้องกับ แคมเปญออนไลน์ข้างต้น คือ ประตูผ่านทางเข้าสู่ชานชาลาของสถานีที่มีเพียง 3 ช่องทาง ทำให้ทุกคนต้องต่อเเถวยาวเหยียด
อุศนา ทองใบ พนักงานออฟฟิศ ขาประจำระบบรางอีกคน ให้ความเห็นว่า ความล่าช้ามักกลายเป็นปัญหาในช่วงเช้าวันจันทร์ เนื่องจากบริเวณรอยต่อระหว่างสถานีเตาปูนและบางซื่อนั้นมีการจราจรติดขัด รถ shuttle bus ไม่สามารถรับส่งผู้โดยสารได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นปัญหาสืบเนื่องไปถึงสถานีบางซื่อ ซึ่งมีผู้โดยสารกองรอพร้อมกันราว 200-300 เมตร เรียงหน้ากระดาน 3 แถว เข้าคิวเดิน กว่าจะผ่านเข้าสู่สถานีได้บางช่วงใช้เวลานานถึง 20 นาที
"การจัดการปัญหาเบื้องต้นของ MRT คือ ให้พนักงานเอาเหรียญโดยสารมาขายโดยตรงให้กับผู้โดยสาร ไม่ต้องเข้าคิวมุ่งหน้าไปซื้อที่ตู้แลกเหรียญ ซึ่งช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะได้เหรียญมาก็จำเป็นต้องต่อคิวเข้าสถานีอีกอยู่ดี ส่วนตัวเห็นว่าต้องเพิ่มช่องทางเข้าจาก 3 เป็น 4 หรือ 5 ช่องทางในช่วงเวลาเร่งด่วน"
นอกจากเรื่องรอยต่อที่สร้างปัญหาแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้การเดินทางถูกทอดยาวออกไปอย่างไม่ควรจะเป็น คือ การไม่ชี้แจงข้อมูลความผิดพลาดให้ผู้โดยสารได้ทราบอย่างชัดเจน
"ที่เเย่คือ เวลามีปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะ ประตูเปิดค้างระหว่างสถานี หรือรถหยุดจอดกระทันหัน ไม่เคยมีการชี้แจงหรือประกาศผ่านสื่อออนไลน์อย่างทั่วถึงจาก MRT เลย มักจะแก้ปัญหาหลังจากมีกระแสไวรัลอย่างกว้างขวางเสียแล้ว
เวลารถไฟมีปัญหาเราควรรู้จากคนที่อยู่กับระบบ ในฐานะผู้บริโภค เราตั้งคำถามว่า เวลารถไฟใต้ดินรู้ว่าตัวเองมีปัญหานั้นรู้จากไวรัลของคนหรือรู้จากการเช็กระบบของตัวเองกันแน่ ถ้ารู้จากระบบ คุณก็สามารถบอกผู้โดยสารได้อย่างชัดเจนว่าสาเหตุความล่าช้านั้นเกิดจากอะไร แต่สถานการณ์จริงมักตอบไม่ได้จนกว่าจะมีภาพไวรัลที่แสดงให้เห็นถึงความผิดหวังของผู้โดยสาร สรุปรู้ปัญหาก่อนเรา หรือ เรารู้ปัญหาก่อนคุณ"
เเพรว วัย 28 ปี ผู้จัดการฝ่ายขายบริษัทโลจิสติกส์เเห่งหนึ่ง สะท้อนปัญหาให้ฟังว่า ระยะหลังเลิกใช้บริการ MRT เนื่องจากไม่ค่อยพอใจการจัดการในช่วงเวลาเร่งด่วน ซึ่งมีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก ส่งผลให้เสียเวลาในการเดินทางจากปกติ 15 นาที เป็น 30 นาที
"ช่วงหลังเราเลือกนั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างเเทนเเล้ว เพิ่มเงินอีก 20-30 บาท เเลกกับความรวดเร็วเเละไม่ต้องเบียดเสียดกับใคร"
ผู้ใช้งานรายนี้ เเสดงความรู้สึกอีกว่า รัฐบาลมักรณรงค์ให้ประชาชนเลือกใช้งานรถสาธารณะเสมอ เเต่เหตุหน่วยงานให้บริการกลับไม่เร่งพัฒนาคุณภาพของตัวรถเเละระบบเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น
"เราเเละคนอื่นๆ เลือกซื้อที่พักอาศัยติดกับรถไฟฟ้า เพราะหวังความสะดวกในการเดินทาง ไม่ต้องการได้ยินคำว่า รถไฟฟ้าขบวนนี้เกิดความล่าช้า ขออภัยในความไม่สะดวก" เเพรว ทิ้งท้าย
สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ได้เปิดเผยกับสื่อก่อนหน้านี้ว่า การเปิดใช้งานรถไฟฟ้าสีม่วงนั้นส่งผลให้จำนวนผู้ใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน (เอ็มอาร์ที) มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ถึง 15,000 คนต่อวัน ส่งผลให้ยอดรวมผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเติบโตมากกว่า 5% โดยมีจำนวนปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.8 แสนคนต่อวันเมื่อปีก่อนเป็น 3 แสนคนต่อวันในปัจจุบัน สูงกว่าอัตราการขยายปกติซึ่งอยู่ที่ราว 4% ต่อปี โดยรายได้จากค่าโดยสารจากจะเพิ่มขึ้นจากปกติอยู่ที่ 2,500 ล้านบาทต่อปี เป็น 2,700 ล้านบาท
ที่สำคัญ บอสใหญ่ แห่ง BEM บอกอีกว่า ในปี 2560 ยอดผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินคาดว่าจะเติบโตได้ 4-5% จากปีนี้ แต่อาจเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์เล็กน้อยถ้าหากสามารถเชื่อมต่อสถานีเตาปูนและบางซื่อได้สำเร็จ
ข้อเรียกร้องและความกังวลใจจาก ประชาชนผู้ใช้งานรถโดยสาธารณะ กำลังรอคำตอบที่นำไปสู่การแก้ไขจาก BEM และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
แคมเปญ online "ผู้ว่าการรฟม.ขอแนวทางแก้ไขปัญหาคนล้นสถานี MRT บางซื่อช่วงเช้า"
ภาพจากเฟซบุ๊ก Nichanan Tan , Karenin Ausana