posttoday

"พงศพัศ" จี้คดีเบนซ์ซิ่งชน พบความเร็ว 215-257กม./ชม.

29 มีนาคม 2559

"พงศพัศ" ติดตามคดีเบนซ์ซิ่งชนรถ 2 นศ.ปริญญาโทดับ เผยระยะทาง 52.1 ก.ม. ใช้เพียง 25 นาที ใช้ความเร็ว 215-257กม./ชม.

"พงศพัศ" ติดตามคดีเบนซ์ซิ่งชนรถ 2 นศ.ปริญญาโทดับ  เผยระยะทาง 52.1 ก.ม. ใช้เพียง 25 นาที ใช้ความเร็ว 215-257กม./ชม.

เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่กองบังคับตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินทางมารับฟังการบรรยายสรุป คดีที่รถเบนซ์ ที่นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ขับไปเฉี่ยวชน รถฟอร์ด ของ นายกฤษณะ ถาวร กับ น.ส.ธันฐภัทร ฮ้อแสงชัย  สองนิสิตปริญญาโทจนเสียชีวิต

โดย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำพนักงานสอบสวนและนายตำรวจ ที่ร่วมรับผิดชอบในคดี เข้าชี้แจงความคืบหน้า  ซึ่งพบว่าตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน พยานวัตถุ ผลการตรวจสอบทางวิทยาการ และสอบพยานไปแล้ว 29 ปาก จากจำนวน 41 ปาก ซึ่งมีความชัดเจนในสำนวน อย่างไรก็ตามทางตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาขับรถเร็วเพิ่มอีก 1 คดี ส่วนคดีเมาสุราแล้วขับรถนั้นแจ้งไปแล้วแต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

สำหรับวันนี้เป็นครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 2  หลังจากฝากขังครั้งที่ 1 เป็นเวลา 12 วันแล้ว โดยวันนี้ผู้ต้องหาไม่ได้มาศาล  เพราะต้องเข้าห้องผ่าตัดหัวเข่า โดยตำรวจได้ยื่นขอฝากขังต่อศาลครั้งที่ 2 ตามกำหนดเดิม

ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงผลความคืบหน้าหลังจาก  ติดตามสำนวนการสอบสวนคดีนายเจนภพ วีรพร ได้ขับรถเบนซ์พุ่งรถเก๋งจนไฟลุก บนถนนพลโยธิน เขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และทำให้นิสิตปริญญาโท เสียชีวิต 2 ศพ ว่า วันนี้ร่วมกันญาติผู้เสียชีวิต  มาตรวจสอบความคืบหน้า ซึ่งพบว่า ได้แจ้งข้อหาไปแล้ว 2 คดี คือคดีที่ 1.ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายซึ่งผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว   คดีที่ 2 เมาสุราแล้วขับขี่รถยนต์จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่พนักงานสอบสวนรวบรวมพบว่าผู้ต้องหาใช้เส้นทางทางด่วนพระราม 4 มาถึงจุดเกิดเหตุ ระยะทาง 52.1 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 25 นาที ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของพฐ. สรุปว่ารถคันนี้ใช้ความเร็วประมาณ 215 – 257 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยจะให้แจ้งข้อหาเพิ่มอีก 2 ข้อหา คือ 1.ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และ 2.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และทุกข้อหาจะสรุปสำนวนคดีส่งให้อัยการได้ก่อนสิ้นเดือนเมษายนนี้

อย่างไรก็ตามตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐานทุกข้อหาว่าจะเอาผิดได้ และญาติผู้เสียชีวิตต้องการให้ตำรวจทำงานตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย รวมถึงต้องการให้ประชาชน สังคม และตำรวจ ตระหนักถึงอันตรายจากการขับรถเร็วและประมาท รวมถึงการการบังคับใช้กฎหมายกับคนทุกคน