posttoday

จตุพล สิทธิชัย บุกเบิก ‘อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น’

26 กรกฎาคม 2560

นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง จตุพล สิทธิชัย (วัย 38 ปี) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พิกเซล วัน อีเว้นท์ แอนด์ เฟสติวัล ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงธุรกิจอีเวนต์ ออร์แกไนเซอร์ คือผู้บุกเบิก "อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น"

เรื่อง ภาดนุภาพ วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี

นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง จตุพล สิทธิชัย (วัย 38 ปี) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท พิกเซล วัน อีเว้นท์ แอนด์ เฟสติวัล ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงธุรกิจอีเวนต์ ออร์แกไนเซอร์ คือผู้บุกเบิก "อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น" ระดับโลกที่น่าสนใจอย่าง "Avatar : Discover Pandora-Bangkok" โดยนำมาจัดแสดงที่เมืองไทยเป็นครั้งแรก ไปพูดคุยถึงที่มาของเรื่องนี้กัน

"ผมทำธุรกิจเกี่ยวกับออร์แกไนซ์และรับจัดงาน อีเวนต์ต่างๆ มากว่า 14 ปีแล้วครับ เรียกว่าจัดงาน อีเวนต์ให้ลูกค้ามาเกือบทุกแบรนด์ และจัดมากว่า 1,000 อีเวนต์ได้ ทั้งงานเปิดตัวสินค้า เปิดตัวรถยนต์ และอื่นๆ ส่วนงานใหญ่ๆ ที่หลายคนน่าจะจำได้ก็คือ อีเวนต์ Kingdom of Life ซึ่งเป็นการจัดแสดงไฟ แอลอีดีบริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา งานนี้เองที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้ผมอยากจัด อีเวนต์ใหญ่ๆ ในระดับประเทศ ที่สามารถดึงดูด นักท่องเที่ยวหรือคนไทยให้ได้มาสัมผัสกับประสบการณ์ ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า ผมอยู่ในวงการออร์แกไนซ์มานาน ทำให้ผมได้เห็นภาพเกี่ยวกับงานเอนเตอร์เทนเมนต์และโชว์บิซต่างๆ และคิดว่าเมืองไทยของเราน่าจะมีอีเวนต์ใหญ่ๆ บางมั้ย ที่น่าจะเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับคนไทยได้บ้าง ซึ่งโดยส่วนตัวผมเองแล้วก็อยากจะขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดใหม่ๆ ให้กว้างขึ้นด้วย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทของเรามีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัท แม็คทัส ไลฟ์ ผู้นำธุรกิจด้านบันเทิง ครบวงจรจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์จากสหรัฐ และบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป พร้อมด้วย GES, Lightstorm Entertainment และ Fox Next Destinations โดยร่วมกันเปิดตัว อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น ระดับโลกที่ชื่อว่า Avatar : Discover Pandora ขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยจัดแสดงตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-1 ก.ย. 2560 ณ เอ็มซีซี ฮอลล์ เดอะมอลล์ บางกะปิ ใครที่สนใจอยากเข้าชม ก็สามารถซื้อบัตรได้ที่เซเว่น อีเลฟเว่น และไทยทิคเก็ตเมเจอร์ได้เลยครับ"

จตุพลบอกว่า หลังจากเปิดนิทรรศการไปเมื่อ ต้นเดือน ก.ค.ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากจากคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มากันเป็นครอบครัว เขาจึงอยากเชิญชวนให้คนกลุ่มอื่นๆ ลองมาชมกันสักหน่อย เพราะนิทรรศการนี้จะจัดแสดงแค่ 60 กว่าวันเท่านั้น

จตุพล สิทธิชัย บุกเบิก ‘อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น’

"นอกจากกลุ่มลูกค้าหลักคือครอบครัวแล้ว หลังๆ มานี้ยังมีกลุ่มวัยรุ่นและคนทั่วไปเริ่มเข้ามาชมนิทรรศการกันมากขึ้น เรียกว่าเริ่มมีผู้เข้าชมหลากหลายเพศและวัยคละๆ กันไป ราคาบัตรเข้าชม ผู้ใหญ่ 490 บาท เด็ก 390 บาท และเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี เข้าฟรีเลยครับ เมื่อคุณอยู่หน้าประตูทางเข้านิทรรศการ คุณจะได้รับคีย์การ์ดสำหรับลงทะเบียนเพื่อร่วมสนุกกับกิจกรรมที่บูธต่างๆ ซึ่งถ้าจุดนั้นมีการทำกิจกรรมหรือมีการถ่ายรูป ผู้ชมก็แค่กรอกอีเมลของตัวเองลงไป ทางนิทรรศการก็จะส่งไฟล์รูปและเสียงจากกิจกรรมตรงจุดนั้นๆ กลับไปให้คุณทางอีเมล พูดง่ายๆ ว่าเป็นอินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น ที่น่าสนใจสำหรับคนไทยที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของภาพยนตร์อวตารจริงๆ

ผมคิดว่านิทรรศการนี้เป็นโชว์ระดับโลกที่หาดูได้ยาก ปกติโชว์แบบนี้คนที่ต้องการชมจะต้องบินไปดูถึงประเทศไต้หวันเลยนะ แต่ตอนนี้เราได้นำมาจัดแสดงให้ชมที่เมืองไทยแล้ว แถมราคาก็ไม่แพงเลย เมื่อเทียบกับการไปเที่ยวสวนน้ำหรือสวนสนุก อีกอย่างใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์เรื่อง 'อวตาร' รับรองเลยว่าจะได้รู้เรื่องราวของดาวแพนดอร่า รู้จักชาวนาวีตัวสูงๆ ผิวสีฟ้าเผ่าต่างๆ มากขึ้น รวมทั้งได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของต้นไม้ พืชพรรณ และสัตว์แปลกๆ อีกมากมายบนดาวดวงนี้ เสมือนหนึ่งว่าคุณหลุดไปอยู่ที่ดาวแพนดอร่าเลยล่ะ เรียกว่าเพลิดเพลินทุกโซนเลยก็ว่าได้ ในอนาคตแน่นอนว่าใครที่เป็นแฟนภาพยนตร์ดังๆ อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ และเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวล ต้องได้ตื่นเต้นกับอินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น ซึ่งจะตามมาในช่วงปลายปีนี้ และช่วงกลางปีหน้าอีกแน่นอน"

แค่ได้ฟังจากผู้บริหารเล่า ก็ดูน่าสนใจแล้วล่ะ จตุพลยังบอกอีกว่า บริษัท พิกเซล วันฯ ยังได้รับลิขสิทธิ์อีกหลายโชว์ ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยจัดแสดงไปเรื่อยๆ กว่าจะครบทั้งหมดก็น่าจะเข้าสู่ปี 2020 เรียกว่าเปิดโอกาสให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ระดับโลกอีกหลายนิทรรศการเชียวล่ะ

จตุพล สิทธิชัย บุกเบิก ‘อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น’

"หากจะให้พูดถึงความสำเร็จของการจัดงานในครั้งนี้ ผมขอวัดจากจำนวนของกลุ่มลูกค้าที่เข้าชมนิทรรศการละกันครับ เพราะถ้ากลุ่มครอบครัวให้ความสนใจมาเข้าชมนิทรรศการกันเยอะ ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จในการจัดงานแล้วละ นั่นแสดงว่าทางเลือกใหม่สำหรับคนไทยที่เราได้นำเสนอนี้ เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ ความจริงแล้วเราตั้งเป้าจำนวนผู้เข้าชมไว้ 3 แสนคน ซึ่งเท่าที่ผ่านมาเกือบเดือน ก็มีกลุ่มลูกค้าเข้าชมเกือบ 3 แสนคนแล้ว ซึ่งที่ประเทศไต้หวัน (ประเทศแรกที่จัดแสดง ประเทศไทยเป็นประเทศที่ 2) ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เข้าชมเช่นกัน

การทำงานในแวดวงออร์แกไนซ์และจัดอีเวนต์มาสิบกว่าปี แน่นอนว่างานทุกอย่างต้องมีปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ให้แก้ไขอยู่ตลอดเป็นเรื่องธรรมดา โดยส่วนตัวผมแล้ว ด้วยความเป็นคริสเตียน ผมมีหลักในการใช้ชีวิตและการทำงานประจำตัวอย่างหนึ่งคือ ความเชื่อในพระเจ้า และเชื่อในทุกๆ สิ่งว่ามันต้องเป็นไปได้ ในเมื่อผมเชื่อว่าประเทศไทยสามารถรองรับการจัดนิทรรศการใหญ่ๆ ระดับโลกอย่างอวตารได้ พอมีความเชื่ออย่างนี้แล้ว เราก็ต้องลงมือทำเลย ทั้งติดต่อและประสานงานกับต่างประเทศ จนนำมาสู่นิทรรศการใหญ่ๆ แบบนี้ได้

แม้ปัจจุบันนี้คนทั่วไปอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักบริษัทผมมากนัก ว่าทำธุรกิจอะไร ตรงนี้ผมไม่ซีเรียสเลยนะ เพราะผมอยากให้คนรู้จักตัวเรา บริษัทของเราผ่านผลงานที่เราทำหรือเราจัดแสดงมากกว่า ซึ่งผมเชื่อว่านิทรรศการอวตารนี้สามารถสร้างความแตกต่างให้กับเมืองไทยได้ แล้วยังช่วยดึงดูดในเรื่องการท่องเที่ยวอีกด้วย เพราะทาง ททท.เองก็สนับสนุนเราอย่างเต็มที่ ผมจึงอยากให้ชื่อเสียงของโปรเจกต์นี้สามารถสร้างเม็ดเงินให้กับการท่องเที่ยวของประเทศไทย และช่วยให้เศรษฐกิจของเราเติบโตต่อไปได้"

จตุพลเสริมว่า งานหลักของเขาคือการเดินทางไปติดต่อธุรกิจ และเจรจากับนักธุรกิจจากทั่วโลก ส่วนการลงรายละเอียดในเรื่องโปรเจกต์ต่างๆ เขามีตัวแทนที่คอยดูแลให้อยู่แล้ว เขาจึงมีหน้าที่หลักโดยบินไปหาพันธมิตรต่างๆ ในประเทศแถบเอเชียเพื่อหาผู้ร่วมธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น

จตุพล สิทธิชัย บุกเบิก ‘อินเตอร์แอ็กทีฟ เอ็กซิบิชั่น’

"สิ่งที่ผมคิดไว้ก็คือ เมื่อนำนิทรรศการอวตารมาจัดโชว์ในบ้านเราแล้ว ต่อไปผมก็อยากจะไปเจรจากับนักธุรกิจในประเทศแถบเอเชียเพื่อนำนิทรรศการนี้ไปจัดแสดงหรือไปโรดโชว์ยังประเทศนั้นๆ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งถ้ามีโอกาสผมก็อยากไปหาช่องทางเปิดธุรกิจในประเทศเหล่านี้ ซึ่งในอนาคตมีแนวโน้มในการเติบโตสูงมาก แต่ตอนนี้เราก็กำลังทำการสำรวจตลาดและอยู่ในช่วงพูดคุยเจรจาอยู่ ซึ่งก็อาจจะมีข่าวดีให้ได้ยินกันบ้างเร็วๆ นี้

ช่วงนี้ผมยังคงอยู่ที่เมืองไทยเยอะหน่อย เนื่องจากต้องทุ่มเทเวลาให้กับนิทรรศการอวตาร เพราะเป็นงานแรกที่เป็นโปรเจกต์ระดับโลกของบริษัทเรา พูดง่ายๆ ว่าแม้ไม่ได้บินไปติดต่อธุรกิจที่ต่างประเทศ งานผมก็ยุ่งทุกวันเลยครับ ถ้ามีช่วงไหนที่ว่าง ผมก็มักจะออกไปใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัดบ้าง หรือมีงานอดิเรก เช่น ออกกำลังกาย หรือว่ายน้ำบ้าง และมีกิจกรรมอีกอย่างที่ต้องทำประจำก็คือการไปโบสถ์ในวันอาทิตย์

ปัจจุบันนี้ผมคิดว่า ชีวิตผมประสบความสำเร็จแล้วนะ แต่อาจจะไม่ได้วัดจากตัวเลขหรือตัวเงินจากธุรกิจเป็นหลัก ความสำเร็จของผมจะวัดจากการดูว่า ทุกวันนี้เราอยู่ในความผันผวนของธุรกิจและความเจริญของโลกที่เปลี่ยนไป แล้วตัวเรามีความมั่นคงทางด้านจิตใจแค่ไหน หลายคนอาจจะคิดว่า โอ้โห เรามาเปิดธุรกิจแบบนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจขาลง มันจะดีเหรอ แต่ผมกลับคิดต่างออกไป เพราะอย่างที่บอกว่าความเชื่อนั้นสำคัญมาก ถ้าเราทำงานอย่างเต็มที่ในสิ่งที่เรารัก มีความมั่นคงทางจิตใจ มีความสนใจและเรียนรู้การทำงานกับโปรเจกต์ระดับโลกแบบนี้อย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าเราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน" n