posttoday

วริยา คำฝึกฝน จากนักธุรกิจหันมาปลูกป่า

25 มิถุนายน 2560

สิ่งที่ต้องการแท้จริงของคนเราบางครั้งก็อาจไม่ใช่การมีเงินมากเสมอไป บางคนขอเพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

โดย...วรธาร ภาพ : เอกกร วีระวงศ์

สิ่งที่ต้องการแท้จริงของคนเราบางครั้งก็อาจไม่ใช่การมีเงินมากเสมอไป บางคนขอเพียงแค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำและสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น สังคม ประเทศชาติก็มีความสุขแล้ว “แมว” วริยา คำฝึกฝน ผู้หญิงวัยกลางคนที่แบ็กกราวด์ไม่ธรรมดาคนหนึ่งอยู่ในบุรพประโยคที่เอ่ยมา

เดิมทีวริยาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจส่งออกและร้านอาหารมีเงินมากมาย แต่อยู่มาวันหนึ่งก็มีจุดพลิกผันทำให้เธอเห็นว่าการมีเงินมากนั้นก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุขเสมอไป จึงขายกิจการแล้วหันไปซื้อที่ปลูกป่า 80 ไร่ ใน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และในอนาคตตั้งใจทำโคก หนอง นา โมเดลเจริญรอยตามศาสตร์พระราชา เพื่อเป็นตัวอย่างและแหล่งเรียนรู้ให้กับคนใกล้ตัวและประชาชนทั่วไป

ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของบ้านไร่คุณพิมวรภา อ.โพธาราม จ.ราชบุรี (พื้นที่ป่าที่ไปซื้อ) และหนึ่งในเครือข่ายพลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน โดยการสนับสนุนของบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ

วริยา คำฝึกฝน จากนักธุรกิจหันมาปลูกป่า

อดีตนักธุรกิจบ้างาน

วริยา เล่าชีวิตครั้งทำธุรกิจเสื้อผ้าส่งออกและร้านอาหารว่า บ้างานสุดๆ และทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ก็มีความสุขเมื่อได้เห็นตัวเลขในบัญชี จวบจนวันหนึ่งพ่อมาเสียชีวิตรู้สึกเสียใจมากที่มีเงินแต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตพ่อไว้ได้ กระนั้นหลังจากนั้นก็ยังทำงานหนักไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อยางใด

“ขนาดคุณแม่เคยนัดกินข้าวก็ยังไม่มีเวลาไปด้วย จนท่านถามเราว่าต้องการเงินอีกสักเท่าไหร่ถึงจะเลิกทำงาน ชีวิตตอนนั้นยอมรับมีความสุขกับการหาเงิน ยิ่งหาได้มากยิ่งมีความสุขมาก เพราะคิดมาตลอดว่าเงินคือความยั่งยืนและคนมีเงินคือคนที่เสียงดัง” วริยาเล่าชีวิตช่วงทำธุรกิจ

เธอเล่าต่อว่า ช่วงหายใจเข้าออกเป็นเงินและบ้ากับการทำงานอยู่นั้น และแล้ววันหนึ่งก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนของชีวิตและเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตในเวลาต่อมาก็คือ การตัดสินใจปิดฉากธุรกิจด้วยการขายกิจการทั้งหมดแล้วหันไปซื้อที่ดินเพื่อการปลูกป่า

วริยา คำฝึกฝน จากนักธุรกิจหันมาปลูกป่า

“วันหนึ่งนัดลูกค้าที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ช่วงที่รอลูกค้าก็มองเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ประดิษฐานอยู่ที่หน้าตึกตรงข้ามโรงแรม ก็นั่งคิดว่าพระองค์นั้นมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรมากมาย แต่ถ้าถามตัวเองรู้อะไรที่พระองค์ทำบ้างขอบอกตามตรงว่าไม่รู้จริงๆ พอลูกค้าโทรมาบอกว่ามาช้า 2 ชั่วโมงก็หงุดหงิดเพราะเวลาเป็นเงินเป็นทองสำหรับเรา เลยนั่งแท็กซี่ไปตึกที่ติดพระบรมฉายาลักษณ์

พอเข้าไปข้างในมีงานโอท็อปเลยเดินดูงานถามคนขายได้วันละกี่ชิ้น พอได้ยินว่าชิ้นเดียวอึ้งเลยอยู่ได้ยังไงพอกินเหรอ เราก็ถามว่าวันๆ กินอะไร เขาบอกปลูกผักกินเอง ที่ซุ้มมีป้ายเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริติดอยู่ก็ยืนมองพลางคิดว่าโครงการตั้ง 3,000-4,000 โครงการ ท่านทำได้ยังไง เรามีแค่ 5 บริษัทเหนื่อยแทบตาย กลับมาบ้านจึงมาเปิดอินเทอร์เน็ตค้นข้อมูลเกี่ยวกับโครงการในพระราชดำริก็เจอโครงการชั่งหัวมันจึงหาโอกาสไปดู”

ขายกิจการเพื่อไปหาซื้อที่ปลูกป่า

วริยา บอกว่า หลังจากไปดูงานโครงการชั่งหัวมันกลับมาก็เกิดแรงบันดาลใจ มองว่าการทำงานหนัก นอนดึก ทำงานแล้วไม่มีความสุข ไม่ใช่ชีวิตที่ดี ผนวกกับมีร้านอาหารที่พารากอนช่วงชุมนุมทางการเมืองไม่ปลอดภัย เสียรายได้เดือนละ 15 ล้าน จึงขายกิจการต่างๆ แล้วไปหาซื้อที่ที่ จ.ราชบุรี

วริยา คำฝึกฝน จากนักธุรกิจหันมาปลูกป่า

“เดิมทีต้องการซื้อที่ดินประมาณ 5 ไร่ แต่เจ้าของต้องการขายทั้งแปลง ก็หาอยู่หลายปีหลายที่แต่ก็ไม่ชอบ เคยไปที่หนึ่งเวลาค่ำมืดเกือบถูกยิงเพราะชาวบ้านไม่คิดว่าจะมีใครมาหาที่ตอนดึกดื่น หาจนท้อ จู่ๆ มีอาจารย์คนหนึ่งโทรมาชวนเรียนเพาะเห็ดจึงไปเรียนรู้วิถีชาวบ้านที่ราชบุรีเห็นชีวิตดูมีความสุขดีเลยอยากได้ที่แถวนี้ (ที่ตั้งปัจจุบันของบ้านไร่คุณพิมวรภา) ก็วานให้ลุงคนหนึ่งที่อยู่ราชบุรีช่วยหาที่ให้ ลุงเป็นเกษตรกรรุ่นเก่าไม่ปลูกอ้อยข้าวโพด ทำเกษตรวิถีเดิมอาศัยขายเห็ดโคน”

วริยา เล่าว่า 1 ปีเต็มๆ ที่ต้องเกี่ยวพันกับลุง พอป่วยก็ช่วยเหลือมาตลอด ลุงเอาที่ไปจำนำก็ช่วยส่งดอก จนวันหนึ่งลุงบอกจะขายที่ตัวเองจึงช่วยซื้อไว้เพราะตัวเองก็ต้องการปลูกป่าอยู่แล้ว แล้ววันหนึ่งลุงแนะนำบุคคลคนหนึ่งที่ทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เธอก็สนับสนุนเพราะเห็นว่าทำตามในหลวงน่าจะโอเคจึงส่งเงินมาให้เรื่อยๆ แต่ปีครึ่งผ่านไปไม่เห็นอะไรไม่มีแม้แต่ไก่ตัวเดียว

เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง

“ยิ่งมาได้ยินเขาพูดกับคนอื่นว่าคนกรุงเทพฯ โง่ ไม่รู้เรื่องบอกอะไรก็เชื่อ ที่แปลงนี้ทำอะไรก็ไม่รอด ซ้ำโดนดูถูกว่าทำอะไรไม่เป็น จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้เราไปเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงต่อสู้กับตัวเองเพื่อต้องการจะปลูกป่าให้ได้ โดยเรียนที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง กับ ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (อ.ยักษ์)”

วริยา คำฝึกฝน จากนักธุรกิจหันมาปลูกป่า

การไปเรียนที่ศูนย์ของอาจารย์ยักษ์ทำให้เธอต้องปรับหลายอย่างจากชีวิตไม่เคยต้องปลูกป่า ล้างชามเอง นอนรวมกับคนอื่น รู้สึกได้เลยว่าชีวิตลำบาก และตอนที่ฟังอาจารย์ยักษ์ครั้งแรกถึงกับสารภาพเพราะไม่รู้เรื่องเลย อยากกลับบ้านอย่างเดียว

“เย็นวันนั้นรู้สึกเลยว่าไม่ใช่เส้นทางของเรา ขับรถหนีไปกิน MK คนเดียว ระหว่างนั้นก็มานั่งย้อนคิดถึงคนที่มาด่าว่าโง่ เราเปิดบริษัทมากมายทำไมแค่นี้ทำไม่ได้เลยกลับไปอีกครั้งตั้งใจมากขึ้น ในที่สุดก็ได้ยินอาจารย์ยักษ์พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงจะทำให้เรายั่งยืนและมั่นคง หลังจากอบรมเสร็จจึงกลับไปที่ไร่ตัวเองตั้งใจว่าจะทำแบบในหลวง นี่คือชีวิตที่เราต้องการ ชีวิตที่มีแต่ความสงบ”

ศาสตร์พระราชาเปลี่ยนชีวิต

วริยา บอกว่า เวลามาที่ไร่ทำให้คลายเครียด หายปวดหัว เมื่อก่อนเราเป็นคนขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย แต่พอมาอยู่ที่ไร่ เปลี่ยนแปลงตัวเองจนกลายเป็นคนละคน

“ทุกวันนี้ได้ติดตาม อ.ยักษ์ ไปให้กำลังใจเกษตรกรตามพื้นที่ต่างๆ ไปดูเพื่อมาปรับปรุงพื้นที่ตัวเอง ส่วนปัญหาที่ไร่คือชาวบ้านบุกรุกผืนป่าเข้ามาขโมยเห็ด ซึ่งเราไม่หวงเห็ดนะแต่เขาเอาที่ดักจับสัตว์มาดักไก่ป่า นางอายซึ่งเราอยากอนุรักษ์สัตว์ป่าไว้เลยต้องเฝ้าระวังทุกวัน ส่วนอนาคตก็วางแผนจะทำโคก หนอง นา โมเดล ต้องการนำความรู้มาทำและเป็นตัวอย่างกับคนใกล้ตัวเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าศาสตร์พระราชาคือความยั่งยืนแท้จริง ตอนนี้หลานๆ เริ่มเชื่อว่าป่ามีคุณอนันต์เลยชวนมาลองทำที่นี่ด้วยกัน”

วริยา คำฝึกฝน จากนักธุรกิจหันมาปลูกป่า

วริยา ยอมรับว่า ศาสตร์พระราชาเปลี่ยนชีวิตเธอจากคนแบรนด์เนมหัวจรดเท้า แต่ตอนนี้อยากนอนตรงไหนก็นอน เปลี่ยนทั้งหมดจนไม่เหลือคราบนักธุรกิจ แถมตอนนี้ไม่อยากเข้ากรุงเทพฯ เพราะไม่รู้จะเข้าไปทำอะไร อยู่ที่นี่ก็สบายใจ แต่เวลาไปก็เอาของปลอดสารพิษไปฝากเพื่อนเสมอ เป็นความสุขใจเล็กๆ ที่ได้ปลูกต้นไม้เองและเฝ้าดูความเจริญเติบโต

“อยากทดแทนคุณแผ่นดินค่ะ ตั้งแต่เกิดมาเราเห็นแก่ตัว ทำเพื่อตัวเองมาตลอด วันนี้อยากทำอะไรเพื่อคนอื่นของในป่าที่เราปลูกมันให้ประโยชน์กับส่วนรวมแค่นี้ก็ดีใจแล้ว ไม่มีที่ไหนดีเท่ากับผืนป่าแห่งนี้ ความสุขของเราอยู่ที่นี่ ทุกตารางนิ้วคือความสมบูรณ์ อยากให้ทุกคนมาสัมผัสที่นี่ มันมั่นคงและยั่งยืน สามารถดูแลเราได้เมื่อเกิดวิกฤต” เจ้าของบ้านไร่คุณพิมวรภา เล่าด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสุข

ทั้งนี้ พื้นที่ของบ้านไร่คุณพิมวรภานั้นเดิมเป็นไม้เบญจพรรณ วริยาได้เก็บป่าไว้ 80 ไร่ ปลูกต้นไม้เพิ่มใน 43 ไร่ แล้วเก็บผลผลิตจากป่าเป็นรายได้ เช่น เห็ดโคน ดอกสารภี โดยเฉพาะสารภีมีมากถึง 500-600 ต้น ซึ่งออกดอกปลายเดือน ม.ค. ก็จะเก็บเอามาทำยาส่งเวชพงศ์โอสถ