posttoday

จีรนันท์ เขตพงศ์ ความรัก ความผิดหวัง กับประสบการณ์ที่ประทับใจ

19 มีนาคม 2560

จอย-จีรนันท์ เขตพงศ์ ผู้ประกาศข่าวช่อง 7 สี ซึ่งมากด้วยความสามารถและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านสื่อมวลชนมาโชกโชน

โดย...วรธาร ภาพ : ประกฤษณ์ จันทะวงษ์

จอย-จีรนันท์ เขตพงศ์ ผู้ประกาศข่าวช่อง 7 สี ซึ่งมากด้วยความสามารถและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านสื่อมวลชนมาโชกโชน ทั้งจัดรายการวิทยุ เป็นผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ และพิธีกร 

เริ่มฉายแววนักข่าวตั้งแต่เรียน ม.5-6 โดยได้รับโอกาสจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.สุราษฎร์ธานี (สวท.สุราษฎร์ธานี) ให้จัดรายการวิทยุ ขณะที่ตอนเรียนนิเทศศาสตร์อยู่ปี 2 ก็สอบได้ใบประกาศของกรมประชาสัมพันธ์ จากนั้นก็ได้อ่านข่าวที่ช่อง 11 สุราษฎร์ธานี ทำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งจบปริญญาไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่ สวท.ชุมพร พักหนึ่งก่อนจะกลับมาที่ สวท.สุราษฎร์ธานี อีกครั้ง ก่อนหน้าที่จะได้ร่วมงานกับช่อง 7 เมื่อ 7 ปีที่แล้วชื่อเสียงเธอก็เริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว

ถึงวันนี้เธออยู่กับช่องมาได้ 7 ปี เข้าสู่ปีที่ 8 ปัจจุบันเป็นผู้ประกาศข่าว รายการข่าวเช้า 7 สี ทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ เวลาตี 5-6 โมง อีกรายการคือ 7 สีช่วยชาวบ้าน ดำเนินรายการร่วมกับพิธีกรอีกคน ทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 15.45-16.00 น.

ภาพลักษณ์เป็นผู้ประกาศข่าวที่เก่งและมีมนุษยสัมพันธ์น่ารักคนหนึ่ง ประกอบกับชีวิตเวลานี้ก็มีความสุขมาก ทั้งชีวิตครอบครัวและชีวิตการทำงาน 

หากจะย้อนเรื่องราวของจีรนันท์ก่อนที่จะมาถึงวันนี้ เธอยอมรับว่าเคยผ่านทั้งเหตุการณ์เลวร้ายชนิดสาหัสสากรรจ์ในชีวิตมาแล้ว รวมทั้งประสบการณ์ในการทำงานที่ไม่อาจลืมได้ โดยเฉพาะประสบการณ์จากการทำงานเป็นผู้สื่อข่าวที่พอหวนนึกทีไรก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้ง มาดูว่าเธอไปประสบเหตุการณ์อะไรบ้างและผ่านตรงนั้นมาได้อย่างไร?

จีรนันท์ เขตพงศ์  ความรัก ความผิดหวัง กับประสบการณ์ที่ประทับใจ

‘ผิดหวังในรัก’ ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย   

พูดถึงจิตใจของผู้ประกาศสาวทุกวันนี้ต้องบอกว่าแข็งแกร่งมาก เพราะความผิดหวังเรื่องความรักและธรรมะช่วยสอนและบ่มเพาะให้แกร่งขึ้น แต่ถ้าย้อนไปในสมัยเรียนจนเรียนจบและทำงานใหม่ๆ ถือเป็นช่วงที่จิตใจอ่อนแอมาก บทพิสูจน์ใจของเธอก็คือเรื่องความรัก

จอยคบกับผู้ชายคนหนึ่งเป็นรุ่นพี่อายุห่างกัน 7 ปี มาตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยจนกระทั่งเรียนจบมีงานทำ นับเวลาที่คบกันนาน 7 ปี ถึงขั้นตกลงปลงใจวางแผนจะแต่งงานกัน แต่แล้วความรักต้องมาสะดุด และจบลงเพราะมือที่สามแทรกแซง

รอยร้าวที่กลายมาเป็นจุดแตกหักเกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งเธอจับได้ว่าฝ่ายชายแอบไปมีหญิงอื่น จากนั้นก็นำมาซึ่งการทะเลาะกันรุนแรง ความรู้สึกที่เสียใจมากในเวลานั้น ผสมกับอารมณ์ที่คุโชนเต็มที่ ทำให้ความคิดตอนนั้นมืดมนอนธการไปหมด ทางออกทางเดียวที่เธอคิดตอนนั้นคือไม่ขอมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว เพราะสภาวะอารมณ์ตอนนั้นเกินที่จะรับไหว

เธอจึงตัดสินใจวิ่งขึ้นจากชั้น 4 ของอพาร์ตเมนต์ที่พักไปชั้นดาดฟ้า (ชั้น 5) เพื่อทิ้งร่างให้หล่นร่วงลงไปยังพื้นข้างล่าง โดยมีฝ่ายชายวิ่งตามขึ้นไปพูดขอร้องไม่ให้ทำ 

“ยอมรับว่าช่วงวัยนั้นจอยอารมณ์ร้อน พอเจอเรื่องผิดหวังแรงๆ จิตเลยเตลิดคุมไม่อยู่ พอทะเลาะรุนแรงก็วิ่งขึ้นไปดาดฟ้ายืนอยู่ขอบตึก ในใจคิดไม่ขออยู่บนโลกนี้แล้ว ขณะนั้นเวลาประมาณ 1 ทุ่ม ผู้ชายก็มาตามบอกให้ลงๆ แต่จอยไม่ลง จนผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็ราวๆ ทุ่มครึ่ง เขาบอกว่าถ้าไม่ลงจะโทรบอกพ่อแม่จอยแล้วเขาก็โทรไป

“ตอนนั้นพ่อแม่อยู่ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ปกติถ้าท่านขับรถมาเยี่ยมจะใช้เวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมง แต่วันนั้นรู้สึกว่าท่านมาถึงในชั่วเวลาแวบเดียวจริงๆ พอถึงท่านมองจอยทั้งน้ำตาไหลออกมา ปากก็พร่ำบอกให้เราลงมาๆ อย่าทำแบบนี้ลูก พอจอยเห็นน้ำตา ได้ยินน้ำเสียงพ่อแม่สักครู่ก็ได้สติลงมา พอไปดูนาฬิกายังไม่ 3 ทุ่ม ในใจคิดเลยพ่อคงต้องเหยียบสุดๆ

“จอยคิดว่าถ้าพ่อแม่เป็นอะไรจากการเดินทางมาห้ามไม่ให้เราทำแบบนั้นคงเป็นตราบาปติดตัวจอยไปตลอด วันนั้นคำพูดหนึ่งของแม่ทำให้เราเห็นว่าพ่อแม่คือคนสำคัญที่สุดในชีวิต แม่บอกว่าทำไมทำแบบนี้ ทำไมต้องคิดสั้น ถ้าพ่อแม่มาไม่ทัน สิ่งที่พ่อกับแม่จะได้รับคือศพลูกใช่ไหม ไม่ใช่ลูกที่มีลมหายใจอยู่แบบนี้ ตอนนั้นก็ได้พูดกับแม่ว่าผู้ชายจะทิ้งหนูอย่างเดียว

“แม่ให้สติอีกว่าตอนนี้ลูกอายุ 24-25 แล้ว คบกับผู้ชายคนนี้มาแค่ 7 ปี กล้าทำให้เขาขนาดนี้ แล้วแม่ที่ให้หนูเกิดและเลี้ยงมาตลอด 20 กว่าปี ไม่รักแม่แล้วเหรอ แม่พูดอย่างนี้เราได้แต่ตำหนิตัวเองในใจ ‘ทำไมลืมพ่อแม่นะ’ คำพูดสุดท้ายของแม่บอกว่า ที่ร้องไห้ให้เขาแม่ไม่ว่าหรอก แต่เก็บน้ำตาเอาไว้ให้พ่อแม่ตอนตายดีกว่าไหมลูก คำนี้ทำให้จอยวนกลับมาคิดเรื่องที่พ่อแม่ขับรถมา ถ้าท่านทั้งสองเป็นอะไรไปในระหว่างเดินทาง เราคือต้นเหตุที่ทำให้เป็น และตราบาปก็จะติดตัวจอยไปจนวันตาย” ผู้ประกาศสาวเล่าเรื่องราวความรักที่ผิดหวัง

ทว่าหลังเหตุการณ์วันนั้นผ่านไป เธอกับพ่อแม่ได้ไปอยู่ด้วยกันที่บ้านของน้าใน จ.สุราษฎร์ธานี ระหว่างนี้พ่อแม่คอยให้กำลังใจเสมอ ไม่เคยด่าและไม่เคยโทษอะไรเธอเลย ขณะที่ญาติๆ ก็เข้าใจหมด ไม่มีใครตำหนิ มีแต่ให้กำลังใจเสมอมา ระยะเวลา 3 เดือน สภาพจิตใจดีจนรู้สึกเป็นปกติ จอยยอมรับว่าถ้าพ่อแม่ไม่มาในวันนั้น เธออาจเป็นคนที่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจที่สุดในชีวิตและเป็นบาปติดตัวไปตลอด

 “จอยกลับมาได้เพราะคำพูดของพ่อแม่ที่ให้กำลังใจทุกวัน ไม่เป็นไรลูก เริ่มต้นใหม่ได้ ไม่กี่วันก็ทำให้ความคิดในเรื่องความรักเราเปลี่ยนไปในทางที่ถูกที่ควร ต่อไปนี้เราต้องรักตัวเองมากขึ้นก่อนที่จะไปรักคนอื่น ที่สำคัญต้องรักพ่อแม่ด้วย และคนที่จะเข้ามาในชีวิตเราต้องรักพ่อรักแม่เราด้วยเช่นกัน นี่คือประสบการณ์หนึ่งของจอยที่ลืมไม่ลงค่ะ” จอย จีรนันท์ ทิ้งท้าย

จีรนันท์ เขตพงศ์  ความรัก ความผิดหวัง กับประสบการณ์ที่ประทับใจ

ทำข่าวสึนามิปี’47 ช่วยคนได้เจอญาติ

เหตุการณ์สึนามิในวันที่ 26 ธ.ค. 2547 เป็นช่วงเวลาที่เธอกำลังทำงานอยู่ที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 จ.สุราษฎร์ธานี เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการออกโอบีครั้งแรกของเธอ ส่วนสถานที่จุดได้รับคำสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวก็คือบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา

“จอยเดินทางไปวันที่ 28 ธ.ค. เตรียมเสื้อผ้าไปอย่างน้อย 1 เดือน เพราะไม่รู้ว่าจะได้กลับวันไหน วันนั้นรถโอบีเราวิ่งตามรถบรรทุก 10 ล้อ บรรทุกโลงไปประมาณ 7-8 คัน พอถึงสถานที่จริงจอยไม่นึกว่าในชีวิตนี้จะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เห็นศพอยู่เกลื่อนกลาด ผู้คนร้องไห้ระงม เป็นภาพที่หดหู่และสะเทือนอารมณ์มาก”

เธอเล่าว่า หลายคนอาจคิดว่าการทำงานสื่อมวลชน โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกาศที่แต่งหน้าแต่งตาสวยงามอยู่หน้าจออย่างเดียวเท่านั้น แต่พอไปเจอเหตุการณ์วันนั้นและเป็นการออกโอบีครั้งแรกในชีวิต มันไม่ใช่ ต้องนอนใต้โต๊ะทำงาน เอาหัวมุดเข้าไปยื่นขาออกมา อาบน้ำในห้องส้วม กินอะไรก็ได้ที่มี ปลากระป๋องถ้ามีคือดีที่สุด

“วันหนึ่งมีคนเอาข้าวกล่องมาบริจาคเป็นร้อยกล่อง เพราะจุดที่จอยอยู่เป็นจุดรับบริจาคด้วย ถามว่าตอนนั้นอยากกินไหม อยากเพราะหลายวันที่ผ่านมาไม่ได้กินอะไรแบบนี้ แต่จอยไม่ได้หยิบเลย มีแต่ขนเอาไปให้ชาวบ้านที่อยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งล้วนแต่บ้านพังเสียหายไม่มีที่อยู่ทั้งนั้น ในใจคิดว่าถ้าหยิบมากล่องหนึ่งคนหนึ่งอาจไม่ได้กิน อีกอย่างคนเหล่านี้กินแล้วบางคนต้องเดินตามหาญาติที่สูญหายด้วย”

ทว่าเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่อาจลืมได้เลย เธอบอกว่า เป็นช่วงเวลาที่จะต้องรายงานข่าวและจุดรายงานนั้น ด้านหลังเป็นขุมเหมืองที่มีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีคนบอกว่ามีรถตกลงไปหลายคัน

“ระหว่างกำลังรอรายงานจะมีการเช็กกล้อง เช็กโฟกัส ช่างภาพบอกให้จอยมายืนใกล้ๆ ขุมเหมือง พอไปยืนตรงนั้นช่างภาพร้องขึ้นว่าเหมือนเห็นมือคนโผล่ขึ้นมานะ บอกให้จอยถอยออกแล้วเขาซูมกล้องเข้าไป ในใจเราก็ภาวนาอย่าเป็นศพนะ พอซูมเข้าไปเขาก็ร้องขึ้นว่าศพคน ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ก็วิ่งไปตามถนนเพื่อหารถมูลนิธิกู้ภัยมาช่วย โชคดีวันนั้นเจอพี่บิณฑ์กับพี่ไทด์-เอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ พี่เขาขับรถเข้ามาที่ขุมเหมือง ให้ลูกน้องเอาแกลลอนผูกแล้วกระโดดลงไปแล้วดึงศพขึ้นมา

หลังจากดึงศพขึ้นมาจอยขอให้พี่เขาค้นดูในกระเป๋าเผื่อเจอบัตรประชาชน เพราะตอนนั้นเราเตรียมรายงานข่าวแล้ว ถ้าเจอบัตรก็จะได้แจ้งให้ญาติเขาทราบ ปรากฏว่ามีบัตรประชาชน พอก่อนจะรายงานข่าวเราก็แจ้งว่ามีศพของผู้ชายคนหนึ่งลอยขึ้นมาชื่อนี้ๆ ถ้าหากญาติกำลังตามหาให้ไปติดต่อขอรับศพได้ที่วัดบางม่วง (มี พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ประจำการอยู่) ทีมกู้ภัยจะนำศพไปเก็บไว้ที่นั่น”

จีรนันท์ เล่าต่อว่า หลังรายงานข่าวเสร็จเรียบร้อยก็ขับรถไปที่พักคือที่สถานีวิทยุที่ตะกั่วป่า อาบน้ำกินข้าวสักพักก็มีรถกระบะคันหนึ่งคนนั่งมา 6-7 คน ลงจากรถมาถามหาเธอ พอออกไปเจอพวกเขาร้องไห้เข้ามากอดและกล่าวขอบคุณที่ทำให้เขาได้เจอญาติ ซึ่งพวกเขาได้ช่วยกันออกตามหามาตั้งแต่หลังเกิดเหตุ

“พวกเขาบอกว่าตามหาญาติคนนี้นานแล้วแต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ จนกระทั่งญาติดูข่าวทางช่อง 11 โทรมาบอกให้ไปที่วัดบางม่วง พวกเขาไปดูศพมาแล้ว แต่ที่มาหาเพราะต้องการขอบคุณที่ทำให้ได้เจอ จอยก็บอกเขาไปว่าหนูเสียใจด้วยนะคะ เขาบอกไม่เป็นไร คนตายแล้วเราก็แค่อยากได้ศพไปบำเพ็ญกุศล ตอนนั้นจอยรู้สึกเหมือนตัวเองได้ช่วยพาศพกลับบ้าน”

จีรนันท์ ทิ้งท้ายว่า ประสบการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็สอนเธออย่างหนึ่งว่า การทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวนั้นไม่ใช่แต่เสนอข่าวให้จบๆ ไป แต่ว่าทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางการสื่อสารที่ตัวเองทำงานอยู่ในการช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วยถ้ามีโอกาส