posttoday

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

22 มกราคม 2560

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ หรือ โปรอาร์ท (วัย 37 ปี) คร่ำหวอดอยู่ในวงการกีฬากอล์ฟ

โดย...ภาดนุ

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ หรือ โปรอาร์ท (วัย 37 ปี) คร่ำหวอดอยู่ในวงการกีฬากอล์ฟเพราะฝึกเล่นมาตั้งแต่อายุ 12 ปี และหลังจากที่เรียนจบปริญญาโท ด้านการบริหาร จากมหาวิทยาลัยบอร์นมัท ประเทศอังกฤษ (วัย 26 ปี) เขาก็กลับมาเทิร์นโปรเป็นนักกอล์ฟอาชีพและเป็นครูสอนตีกอล์ฟอยู่หลายปี จนถึงจุดที่ออกมาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัว และคิดว่าควรจะใช้ชีวิตส่วนหนึ่งอิงกับธรรมชาติบ้าง เขาจึงหันมาทำเกษตรพอเพียงปลูกผักสวนครัว เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองและคนรอบข้าง

“ก่อนจะเป็นโปรกอล์ฟ ผมเคยลงแข่งตามทัวร์นาเมนต์ต่างๆ อยู่ 2 ปี แต่หลังจากมีปัญหาเรื่องเจ็บข้อมือ ผมจึงผันตัวเองมาเป็นครูสอนกอล์ฟอยู่หลายปี จนเปิดโรงเรียนสอนตีกอล์ฟของตัวเองที่ชื่อ ‘S11’ ขึ้นแถวสุวินทวงศ์ ซึ่งคนที่มาเรียนก็มีทั้งเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาติและเยาวชนที่สนใจจะเป็นนักกีฬากอล์ฟ แต่พอเปิดมาได้ 3 ปี ก็เลิกทำไป เพราะดูเหมือนว่าเทรนด์ของเด็กหรือวัยรุ่นยุคนี้มันเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ได้อยากจะตีกอล์ฟละ แต่อยากจะไปเล่นดนตรี อยากไปประกวดร้องเพลงมากกว่า ฉะนั้นจึงมีเด็กที่เข้ามาเรียนตีกอล์ฟน้อยลง

แต่จุดเปลี่ยนจริงๆ ที่ทำให้เลิกเปิดโรงเรียน น่าจะมาจากความเบื่อมากกว่า เพราะตอนนั้นปี 2554 เป็นปีที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ พอดี ผมจึงมองว่าการเปิดโรงเรียนสอนตีกอล์ฟดูไม่น่าจะยั่งยืน เพราะมันต้องใช้เวลาเยอะมาก กว่าจะปั้นให้เด็กสักคนตีกอล์ฟแบบต่อเนื่องไปจนถึงนักกอล์ฟอาชีพ มีเด็กหลายคนไปไม่ถึงฝัน เพราะพอเริ่มขึ้นชั้น ม.5 หลายคนพากันเลิกตีกอล์ฟกันหมด เพราะเรียนหนักและเริ่มหันไปสนใจการเรียนต่อมหาวิทยาลัยอย่างจริงจัง ประกอบกับตอนนั้นผมเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของ คัลลาเวย์ (Callaway) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าเกี่ยวกับอุปกรณ์การไดรฟ์กอล์ฟของสหรัฐ ผมจึงมีหน้าที่ต้องไปให้ความรู้เมื่อมีการจัดงานเปิดตัวสินค้า แต่หลังจากทำได้ 3 ปี ก็เลิกไปอีก เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารในช่วงนั้น”

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

 

โปรอาร์ท บอกว่า ช่วงที่หยุดเป็นโปรกอล์ฟแรกๆ ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไร เขาจึงไปช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัวซึ่งเปิดหอพักใน จ.เชียงใหม่ 2 แห่ง คือ ที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) และที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ แต่ปัญหามีอยู่ว่าหอพักที่แม่โจ้กลับมีคนเช่าไม่เต็ม นักศึกษาที่นั่นจึงเสนอว่าให้ลดราคาค่าเช่าห้องลง

“เมื่อเป็นแบบนั้นผมก็มานั่งคิดว่า จะหาวิธียังไงที่ไม่ต้องลดค่าเช่าห้องลง เพราะถ้าลดไปแล้วก็น่าจะขึ้นได้ยาก ผมก็มานั่งสังเกตว่า แม้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่แม่โจ้จะเรียนเกษตร แต่เท่าที่ได้คุยมาหลายคนบอกว่า ถ้าเรียนจบก็คงไม่ได้ทำเกษตรหรอก คงไปทำงานบริษัทกัน เพราะทำเกษตรไปก็ไม่รวย ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกเขาเก่งมากเลยนะ บางคนเรียนจบไปแล้วน่าจะสามารถทำเกษตรแนวใหม่ให้รุ่งเรืองได้เลย บางคนมีที่ดิน มีไร่ มีนา ซึ่งใช้พื้นที่ทำเกษตรผสมผสานอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงดำริไว้ได้เลยละ ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่า แม้แต่ผมก็ยังสามารถทำได้

ผมจึงได้ไอเดียว่าจะลดรายจ่ายให้เด็กนักศึกษาแม่โจ้ โดยปลูกพืชผักสวนครัวบริเวณที่ดินว่างๆ หลังหอพัก แล้วให้พวกเขาเก็บไปทำอาหารได้ฟรี ซึ่งงานของผมก็คือการใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์โดยใช้เงินน้อยที่สุด ผมกับลูกน้อง (ชาวไทยใหญ่) ที่ดูแลหอพักจึงช่วยกันทำแปลงปลูกผักเล็กๆ ขึ้น โดยปลูกผักกาดเป็นชนิดแรก ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็สามารถเก็บกินได้ แล้วผมยังปลูกมะนาวทิ้งไว้เหมือนกับบ้านที่กรุงเทพฯ ซึ่งปลูกไว้ในที่ดินว่างๆ พอมะนาวออกผลก็นำมาใช้ในร้านอาหารที่ครอบครัวเปิดไว้ได้อีก เรียกว่าแม้ราคามะนาวแพง เราก็ไม่เคยเดือดร้อน เพราะเรามีสวนมะนาวที่สามารถนำไปใช้ได้เลย”

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

 

โปรอาร์ท บอกว่า จากเดิมที่เริ่มปลูกผักแค่แปลงเดียว ปัจจุบันนี้เพิ่มเป็น 4 แปลง เรียงไปตามความยาวของพื้นที่ว่างด้านหลังหอพัก มีทั้งผักกาด กระเจี๊ยบ มะกรูด มะนาว มะละกอ กล้วยน้ำว้า และกล้วยไข่ โดยได้ต้นกล้าของกล้วยมาจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้

“ผักที่ปลูกแล้วสามารถเก็บกินได้เร็ว ก็มีทั้งผักกาด พริก แมงลัก มะเขือ กะเพรา โหระพา และผักชี หากนักศึกษาหอพักคนไหนอยากจะได้ผักที่เราปลูกไว้ไปทำอาหาร ก็บอกให้คนดูแลหอพักเก็บจากแปลงให้ได้เลย ลองคิดดูเล่นๆ หากเดินไปซื้อพริกที่ตลาดตะกร้าละ 10 บาท มาทำอาหาร ทำเสร็จก็ใช้ไม่หมดหรอก ส่วนใหญ่แล้วจะเหลือทิ้งซะมาก ดังนั้นถ้าต้องการใช้จำนวนเท่าไหร่ ก็มาขอจากที่เราปลูกไว้ได้เลย นอกจากนี้ผมยังเพาะเห็ดนางฟ้าไว้ด้วย ซึ่งเพาะได้ไม่ยาก

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดไว้และลงมือทำแล้ว ก็คือ การนำขวดน้ำพลาสติกที่คนในหอพักทิ้งเป็นขยะมารีไซเคิลโดยใช้เป็นภาชนะปลูกผักอย่างผักบุ้งด้วย ตั้งแต่เริ่มต้นปลูกผักสวนครัวจนถึงตอนนี้ก็น่าจะ 6 เดือนได้ นี่ก็เก็บกินไป 2 รอบแล้วครับ ส่วนมะนาว มะละกอ และกล้วย ก็คงต้องรอให้ถึงฤดูกาลที่ออกผลก่อน สำหรับแปลงปลูกผักที่กรุงเทพฯ ที่ผมเริ่มทำไว้ จะเป็นแปลงดินกว้าง 1.50 X 2 เมตร จำนวน 15 แปลง ส่วนพื้นที่ที่เหลือคุณแม่ผมได้ปลูกมะนาวและมะเขือไว้เรียบร้อยแล้ว”

โปรอาร์ท เสริมว่า ถ้ากลับไปบ้านที่กรุงเทพฯ ครั้งนี้ เขาตั้งใจจะปรับที่ดิน 100 ตร.ว. ที่เหลืออยู่เพื่อปลูกข้าวโพดด้วย แล้วยังอาจจะปลูกผักสวนครัวอื่นๆ แซมตามพื้นที่ที่เหลืออีกหลายชนิดเลยละ

“นอกจากปลูกผักในดินแล้ว ตอนนี้ผมยังศึกษาเรื่องการปลูกผักในน้ำที่เรียกว่า ‘อควาโปนิกส์’ ด้วย ซึ่งจะใช้น้ำจากบ่อเลี้ยงปลามาหล่อเลี้ยงผักในราง โดยไม่ใส่ปุ๋ยน้ำหรือปุ๋ยเคมีเหมือนกับผักไฮโดรโปนิกส์ที่หลายคนรู้กัน ซึ่งอควาโปนิกส์จะเป็นผักออร์แกนิกที่ได้สารอาหารตามธรรมชาติจากน้ำในบ่อปลาโดยตรง ซึ่งผักที่ผมทดลองปลูกจะเป็นผักที่ใช้ทำสลัด เช่น ผักกาดหอม เป็นต้น

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

 

ถ้าถามว่าผมได้อะไรจากการทำเกษตรแบบพอเพียงนี้ สิ่งแรกที่ได้ก็คือความสุข เพราะลองคิดดูว่าถ้าเราปลูกพืชผักไว้เต็มบ้าน บ้านเราก็จะสวยงามร่มเย็นและน่าอยู่ ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องขับรถออกไปซื้อของนอกบ้านให้เปลืองเงิน ให้รถติดเปลืองน้ำมัน อย่างคนในกรุงเทพฯ เองยิ่งควรปลูก เพราะเท่าที่สังเกต คนกรุงกินผักอยู่แค่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น เช่น กะเพรา โหระพา ผักกาด คะน้า ซึ่งผมคิดว่าถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องก็สามารถปลูกผักได้ ทุกพื้นที่สามารถปลูกได้หมด แม้แต่ระเบียงคอนโดก็ปลูกได้ ทั้งในกระบะหรือในกระถาง นอกจากได้กินผักที่ไม่มีสารพิษแล้ว ยังเป็นการช่วยลดรายจ่ายอีกด้วย”

โปรอาร์ท ทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้เขามีความสุขกับการได้ปลูกผักกินเอง ได้เบนชีวิตไปอยู่กับธรรมชาติบ้าง ก็ถือเป็นการฟื้นฟูพลังให้ร่างกายได้ดี ในช่วงที่เขาอยู่กรุงเทพฯ หากมีนักเรียนที่อยากจะเรียนตีกอล์ฟมาให้เขาสอน เขาก็ยังรับเป็นโค้ชสอนตีกอล์ฟอยู่บ้างประปราย โดยอาจจะนัดไปสอนที่สนามไดรฟ์กอล์ฟกรุงเทพกรีฑาบ้างเป็นครั้งคราว

“ผมว่าทุกวันนี้ผมเริ่มไปสู่ก้าวแรกในการสร้างความสมดุลให้กับชีวิตตัวเองได้ดีขึ้น ตอนนี้นอกจากดูแลธุรกิจร้านกาแฟที่ผมเปิดไว้ที่เชียงใหม่ และดูแลหอพักทั้งสองแห่งแล้ว ผมยังมีเวลาเหลือมาปลูกพืชผักได้อย่างสบายๆ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขกับมัน แล้วเร็วๆ นี้ผมก็กำลังจะเปิดโฮสเทลที่เชียงใหม่ด้วย ก็อาจต้องบินขึ้น-ลง ระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่บ่อยๆ เวลาที่เหลือก็จะไปปฏิบัติธรรม และไปช่วยชาวบ้านทำนาตามโมเดลของอาจารย์ยักษ์ (ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) เพราะผมเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของท่านด้วย พูดง่ายๆ ว่าถ้าทำทุกอย่างได้ตามที่คิดไว้ ผมก็รู้สึกพอใจแล้วละครับ”…ติดตามได้ที่ FB : Pro Art Danbenchaphan

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

 

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

 

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต

 

ธนวรรธน์ ด่านเบญจพรรณ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิต