posttoday

เมื่อสีสันธรรมชาติเป็นมายา ใน ‘ทหารจีนดินเผา-เทพเจ้ากรีกหินอ่อน’

25 ตุลาคม 2559

ไม่นานมานี้ BBC ทำสารคดีตอนหนึ่งอ้างการค้นพบใหม่ว่า หุ่นทหารดินเผาของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้น่าจะได้รับอิทธิพลจากกรีก

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

ไม่นานมานี้ BBC ทำสารคดีตอนหนึ่งอ้างการค้นพบใหม่ว่า หุ่นทหารดินเผาของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้น่าจะได้รับอิทธิพลจากกรีก เมื่อดูคำอธิบายและสารคดี พบว่าเป็นเพียงทฤษฎีหลวมๆ ฟังดูรวบรัด ด่วนสรุป ไม่ได้พิจารณาหลักฐานทางโบราณคดีอย่างแน่นหนา เน้นเรียกเสียงฮือฮา แต่ก็ตามมาด้วยเสียงไม่เห็นด้วยมากมาย

ในสารคดียังมีจุดน่าสงสัย ว่าตัดต่อทุกอย่างเข้าข้างตัวเอง แม้แต่นักโบราณคดีประจำพิพิธภัณฑ์สุสานทหารดินเผาชาวจีน ซึ่งปรากฏตัวอยู่ในสารคดียังรีบออกมาประท้วง BBC ว่าตัดต่อประโยคที่เขาพูดจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด บิดเบือนความที่จะสื่อไป กลายเป็นทำให้ดูเหมือนสนับสนุนทฤษฎีนี้ไปด้วย

ที่จริงเนื้อหาวิธีคิดของทฤษฎีก็น่าสนใจ เพราะเริ่มข้อสงสัยจากประเด็นว่าสิ่งมหัศจรรย์ของทหารดินเผาไม่ใช่แค่ความใหญ่โตอลังการ แต่เป็นเรื่องแนวคิดในการปั้นหุ่นคนให้ดูเสมือนจริง (Realistic) ทั้งขนาด สีหน้า ท่าทาง อีกทั้งแต่ละคนยังมีลักษณะทางกายภาพที่เป็นปัจเจก ไม่เคยปรากฏศิลปะที่ใช้แนวคิดนี้ขึ้นมาก่อนในอารยธรรมจีน

หุ่นทหารดินเผาจึงดูเหมือนเป็นแนวคิดศิลปะที่โผล่ทะลุกลางปล้องประวัติศาสตร์ศิลปะจีนมาที่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่เดียว ไม่ว่าก่อนหรือหลังยุคจิ๋นซี ก็ไม่ได้ใช้แนวคิดนี้กับงานศิลปะขนานใหญ่แบบนี้อีกเลย ซึ่งวิธีคิดคล้ายคลึงในยุคเดียวกันเท่าที่ค้นพบก็มีแต่อารยธรรมกรีกเท่านั้น

แต่การสรุปอย่างรวบรัดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากกรีกโดยตรง หรือแม้แต่กระทั่งคำพูดของ Lukas Nickel  จากมหาวิทยาลัยเวียนนา อ้างว่า “ช่างกรีกโบราณน่าจะอยู่ที่สุสานเพื่อสอนช่างชาวจีน” ก็ดูจะกระชากความเป็นไปได้ทางประวัติศาสตร์ด้านอื่นๆ เกินไป จนฟังดูเหมือน Propaganda แนวคิด Eurocentric (เชื่อว่าวัฒนธรรมยุโรปเหนือกว่าเป็นเลิศกว่าอารยธรรมอื่นๆ) ตงิดๆ

ลองหลับตานึกถึงสภาพ 2,000 ปีที่แล้ว ภาพสุสานทหารดินเผาอันยิ่งใหญ่จัดตั้งทัพด้วยท่าทางเกรงขามเรียงรายนับพัน กับภาพรูปสลักหินอ่อนของอารยธรรมกรีกที่ประดับประดาตามผนังอาคาร ตามหน้าจั่ววิหาร เหมือนกันเสียที่ไหน ว่าแต่ว่ามีใครบ้างที่หลับตานึกแล้วเห็นว่าทหารดินเผาและรูปสลักเทพเจ้ากรีกมีสีสันสดใส...

เดาว่าแทบทุกคนคงนึกถึงรูปปั้นสีเทาเรียงรายอยู่ในสุสานลับใต้ดิน กับวิหารกรีกที่เต็มไปด้วยรูปสลักหินอ่อนสีขาวสว่างตัดกับเงาแสงอาทิตย์... ซึ่งไม่ใช่ความจริงทางโบราณคดี คือ หุ่นทหารดินเผาสีเทาทะมึนเมื่อแรกสร้างล้วนถูกระบายสี ในขณะเดียวกันรูปสลักหินอ่อนในยุคกรีกรุ่งเรืองก็เช่นกัน

แถมสีสันที่ระบายอยู่ทั้งคู่ยังดูสดใสเต็มไปด้วยลวดลายมากมาย จนคนที่คุ้นเคยกับสีเทาดินเผา หรือผิวหินอ่อนขาวนวล อาจถึงขั้นรับไม่ได้ บางท่านอาจทราบความจริงเรื่องนี้แล้ว แต่เชื่อว่าพอหลับตานึก “แวบแรก” ทีไรก็ไม่ค่อยนึกถึงสีสันพวกนี้นัก ลองคิดถึงกองทหารสีสันสดใส ที่ใส่เสื้อคลุมหลากสีทั้งฟ้า เขียว แดง เหลือง พร้อมผ้าโพกหัวสีไม่ซ้ำกันเลยในกองทัพเดียวกัน นั่นแหละ คือสภาพความเป็นจริงหลังสุสานจิ๋นซีเสร็จหมาดๆ

แล้วลองคิดถึงบ้านชาวบ้านไทยที่อยากมีความเป็นฝรั่ง ด้วยการเอาเสากรีก เสาโรมันมาประดับ แล้วทาสีทองที่หัวเสา พร้อมทาสีเจ็บๆ แต่งแต้มไปที่ลวดลายนูนต่ำ และผนัง นั่นแหละใกล้เคียงสีสันของชาวกรีกที่แท้จริง (ส่วนบ้านคฤหาสน์หรูเรียบขาวในละครไทย อันนั้นกรีกปลอม) อันที่จริงถ้าจะพูดให้เห็นภาพรูปปั้นชัดๆ อาจจะให้ลองนึกถึงสีสันรูปปั้นเปรต รูปปั้นผู้คนในนรกสวรรค์ตามวัดบ้านๆ ในไทยก็พอจะเทียบเคียงกันได้

ฝรั่งบางสำนักค้นพบความจริงข้อนี้แล้วเรียกมันว่า Ugly truth เพราะขัดกับรสนิยมของฝรั่งที่จินตนาการถึงโลกกรีกโบราณอย่างสิ้นเชิง พอจะเดาได้ว่าหากใครทำหนังที่วิหารกรีกสีสันเปรี้ยวตา กับทหารจิ๋นซีใส่ชุดหลากสีขึ้นมา คนดูจะพากันร้องยี้ หาว่าอัปลักษณ์ไม่เหมือนจริง

ความเข้าใจผิดของฝรั่งมีมาเนิ่นนาน เพราะหลังจากอารยธรรมกรีกล่มสลายและถูกเพิกเฉยไปเกือบพันปี พอถึงยุคเรอเนสซองซ์ฝรั่งกลับมาสนใจความคลาสสิกในยุคกรีกโรมันใหม่ จึงขุดค้นรูปปั้นที่กลายเป็นซากปรักหักพังมาศึกษา ก็พบว่ามีแต่รูปสลักหินอ่อนเปลือยผิว (เพราะสีล่อนและซีดหายไปหมดแล้ว)

ฝรั่งเรอเนสซองซ์อยากเลียนความคลาสสิกเลยเข้าใจผิดว่ากรีกคลาสสิกต้องมากับการเลือกใช้ผิวหินอ่อนไร้สีสัน จึงไม่เคยทาสีลงบนผิวรูปสลักอีกเลย ถ้าชาวกรีกโบราณได้กลับมาเห็นอิตาลียุคเรอเนสซองซ์คงอุทานว่า ทำไมบ้านเมืองยูไม่รู้จักทาสีรูปปั้นให้เสร็จ แค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็มาตั้งโชว์ซะแล้ว

ส่วนของจีน ความเข้าใจผิดติดมากับภาพที่เห็นในพิพิธภัณฑ์ ที่กองทหารดินเผามีสีดิบๆ ฝังใจ เพราะไม่สามารถรักษาสีให้คงสภาพอยู่ได้เมื่อโดนอากาศ หนังจีนย้อนยุคไม่ว่าเรื่องไหนก็เลย
ให้กองทัพทหารจิ๋นซีใส่เสื้อสีดำสีเทา ดูขึงขังตามภาพลักษณ์ทหารดินเผาสีตกไปซะหมด จิ๋นซีฮ่องเต้มาเห็นคงบ่นว่า ช่างเป็นกองทัพที่ไร้ชีวิตชีวาเสียนี่กระไร

สีธรรมชาติของวัสดุที่ดูแสนผู้ดีหรือเคร่งขรึมในจินตนาการของยุคเก่าจึงเป็นภาพมายา และความชินตามาเนิ่นนานก็ไม่ใช่ความเป็นจริง ความเคยชินจึงจำเป็นต้องถูกกะเทาะด้วยแนวคิดใหม่อยู่เสมอ อย่างน้อยเราอาจจะได้เข้าใจภาพหลากหลายมากขึ้น แม้จะรับข้อสรุปนั้นๆ ไม่ได้ก็ตาม

สารคดีนี้จะทำใจรับได้ลำบากอยู่หน่อยก็ตรงที่ฝรั่งทำสารคดีทีไรก็ดูจริงจัง มั่นใจ แต่พอหลักฐานอ่อนคนดูเลยหมั่นไส้หาว่าเป็น Eurocentric แต่ต้องอย่าลืมว่าโลกโบราณคดีก็เคยฮือฮากับทฤษฎีของฝรั่งที่ว่า กองเรือเจิ้งเหอค้นพบอเมริกาก่อนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส

แม้หลักฐานจะดูแน่นหนากว่าคราวนี้อยู่บ้าง แต่จะบอกว่าน่าเชื่อก็คงไม่ใช่ และที่สำคัญไม่เห็นมีใครยกเรื่อง Eurocentric มาเกี่ยวแต่อย่างใด ฝรั่งก็ช่างตั้งทฤษฎี ช่างสงสัย ช่างเรียกร้องความสนใจแบบนี้เรื่อยมา