posttoday

ปั้นเด็กสองภาษาให้ถูกทาง ฉบับพ่อแม่ยุคเออีซี

21 เมษายน 2559

สมัยก่อนถ้าพูดถึงการศึกษาของลูก คุณพ่อคุณส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าไปที่การเลือกโรงเรียนดัง เน้นวิชาการเข้มข้น

โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์

สมัยก่อนถ้าพูดถึงการศึกษาของลูก คุณพ่อคุณส่วนใหญ่จะพุ่งเป้าไปที่การเลือกโรงเรียนดัง เน้นวิชาการเข้มข้น เพื่อเป็นหลักประกันว่าลูกน้อยจะมีวิทยายุทธแก่กล้าพอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย มาถึงยุคปัจจุบัน หัวข้อการศึกษายังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของพ่อแม่ยุคนี้ เพียงแต่ปรับเป้าหมายระยะไกลจากการเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย มาสู่การปั้นเด็กให้พูดได้อย่างน้อยมากกว่าหนึ่งภาษา ยิ่งเมื่อปีที่แล้วประเทศเพิ่งก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียน (เออีซี) อย่างเต็มตัว ยิ่งทำให้กระแสการปั้นเด็กสองภาษาทวีความเข้มข้น

คำถามคือ ใครๆ ก็ปั้นลูกให้เป็นเด็กสองภาษาได้จริงหรือ?

สมองเด็กเรียนรู้ได้มากกว่าที่(คุณ)คิด

พญ.นันทกรณ์ เอื้อสุนทรวัฒนา กุมารแพทย์ ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท กล่าวว่า เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมความสามารถที่จะเรียนรู้ได้หลายภาษาไม่จำกัด โดยเฉพาะช่วงขวบปีแรกสมองของเด็กเปรียบเหมือนฟองน้ำที่พร้อมจะซึมซับทุกอย่างรอบตัว หากเขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ก็จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งรอบตัว ถ้าอยู่ในครอบครัวที่พูดหลายภาษา เขาก็สามารถเรียนรู้ภาษาเหล่านั้นได้อย่างไม่สับสน

“ในอดีตเด็กที่พูดภาษาที่สองได้ดี มักเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมพิเศษที่เอื้ออำนวย เช่น ไปโตที่ต่างประเทศ หรืออยู่ในครอบครัวที่มีสมาชิกพูดได้หลายภาษา แต่ปัจจุบันแม้ในครอบครัวที่พูดภาษาไทย คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มตื่นตัวในการสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกพูดภาษาที่สองให้ได้ตั้งแต่เด็ก ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่เริ่มตื่นตัว แต่ในต่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก พ่อแม่ก็นิยมให้เด็กเรียนภาษาที่สองเพิ่มเติม เช่น ภาษาจีน หรือภาษาฝรั่งเศส”

ปั้นเด็กสองภาษาให้ถูกทาง ฉบับพ่อแม่ยุคเออีซี

 

พญ.นันทกรณ์ บอกว่า การสร้างพัฒนาการด้านภาษาให้กับลูก สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ขวบปีแรก เพราะธรรมชาติของสมองเด็กเกิดมาพร้อมเซลล์สมองจำนวนมหาศาล ในช่วงที่พัฒนาการสมองยังไม่สมบูรณ์ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใส่ข้อมูลเข้าไปให้ลูกน้อย เซลล์สมองที่ไม่ถูกใช้งานจะเริ่มฝ่อและตายไป สังเกตได้จากเด็กที่ผู้ปกครองไม่ได้กระตุ้นด้วยการเล่นหรือพูดคุย พัฒนาการของเขาจะไม่ดีเท่าเด็กที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยพูดคุยปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่นเดียวกับการสร้างพัฒนาการด้านภาษาที่สองให้ลูก สามารถเริ่มต้นได้พร้อมกับภาษาแรก เพราะพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กในช่วงขวบปีแรกจะดีที่สุด ถามว่าเริ่มช้ากว่านั้นได้มั้ย ได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่ดีเท่าเริ่มก่อนอายุ 3-7 ขวบ

“ส่วนพ่อแม่ที่อยากพูดภาษาอังกฤษกับลูก แต่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง หมอไม่อยากให้มองเป็นข้อจำกัด เพราะคุณพ่อคุณแม่สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก่อนจะไปสอนลูกได้ ส่วนเรื่องสำเนียงที่อาจไม่เหมือนเจ้าของภาษาเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเด็กจะได้สำเนียงแบบเจ้าของภาษาจริงๆ ต่อเมื่อได้ฟังหรือเติบโตมากับสิ่งแวดล้อมที่มีเจ้าของภาษาอยู่รอบตัว ซึ่งหมอมองว่า สิ่งที่สำคัญกว่าสำเนียงคือการออกเสียง ถึงจะเป็นสำเนียงไทย แต่การออกเสียงคำถูกต้อง คนฟังก็เข้าใจได้ไม่ยาก”

สำหรับพ่อแม่มือใหม่ หมอแนะนำให้เริ่มจากการสอนคำศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ให้เด็กหัดใช้บ่อยๆ และพยายามหาโอกาสให้ลูกได้สื่อสารกับเจ้าของภาษาเพิ่มเติม เช่น เข้ากลุ่มกับเด็กต่างชาติที่วัยใกล้ๆ กัน ยิ่งถ้าครอบครัวไหนโชคดีมีคุณพ่อหรือคุณแม่ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี อาจให้รับหน้าที่พูดภาษาอังกฤษกับลูกเป็นหลัก วิธีการนี้เรียกว่า “one parent one language” อย่างไรก็ตามสำหรับพ่อแม่ไทยแท้ๆ หลักการนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้สม่ำเสมอ หากเป็นอย่างนั้น อีกวิธีหนึ่งที่ทำได้คือ “one time one language” คือเลือกช่วงหนึ่งของวันเพื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษกับลูกแทน

“จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดออกมารองรับว่าวิธีไหนดีกว่ากัน ดังนั้นจะเลือกใช้วิธีไหนขึ้นอยู่กับแต่ละครอบครัว ที่สำคัญคือต้องทำให้การเรียนรู้ภาษาที่สองเป็นเรื่องสนุก เพราะเด็กจะเรียนรู้ได้ดีต่อเมื่อเขามีความสุข สนุกกับสิ่งที่เรียน จุดนี้สำคัญกับการเรียนรู้ทุกอย่าง ไม่เฉพาะแค่เรื่องภาษา”

ปั้นเด็กสองภาษาให้ถูกทาง ฉบับพ่อแม่ยุคเออีซี

 

อย่าให้ภาษาที่สองสตรองกว่าภาษาแม่

พญ.นันทกรณ์ ยังฝากข้อคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ที่อยากปั้นลูกให้ได้สองภาษาอย่างน่าสนใจว่า ต้องมั่นใจว่าลูกไม่ใช่เด็กที่มีปัญหาพูดช้า เพราะแม้ตัวการสอนสองภาษาเองไม่ได้ทำให้เด็กพูดช้า แต่ถ้าเด็กมีแนวโน้มจะพูดภาษาหลักช้าอยู่ก่อนแล้ว พ่อแม่ยังดันทุรังให้เด็กพยายามรับภาษาที่สอง อาจทำให้แก้ไขความล่าช้าของภาษาได้ยากขึ้น

“วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าลูกเข้าข่ายพูดช้าหรือไม่ เช็กได้ 3 ระยะ คือ ในช่วงอายุครบขวบปีแรก ยังไม่เข้าใจคำสั่งง่ายๆ เช่น อย่า หยุด ไม่ เมื่อเข้าสู่ 15 เดือนแรก ยังไม่เรียกคนใกล้ชิด และจน 18 เดือนแล้ว เด็กยังไม่พูดคำที่มีความหมายแม้แต่คำเดียว พ่อแม่ควรปรึกษากับกุมารแพทย์”

อีกเรื่องที่พ่อแม่อาจนึกไม่ถึง คือการเน้นภาษาที่สองมากจนทำให้ภาษาไทยไม่แข็งแรง สำหรับประเด็นนี้ พญ.นันทกรณ์ มองว่า หากคุณพ่อคุณแม่วางแผนอนาคตของลูกไว้ว่าจะให้ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นหลัก การฝึกให้ใช้ภาษาอังกฤษให้คล่องแซงหน้าภาษาไทยไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าอนาคตเด็กยังต้องใช้ชีวิตในประเทศไทย หากภาษาไทยไม่แข็งแรง อาจเป็นปัญหากับการใช้ชีวิตในสังคมได้

“หมอไม่อยากให้ภาษาไทยของเรากลายเป็นภาษาที่สองสำหรับเด็กไทยรุ่นใหม่ ไม่อยากให้คิดว่าอยู่เมืองไทยยังไงก็พูดภาษาไทยได้ เพราะภาษาไม่ได้มีแค่ฟัง พูด การอ่านออกเขียนได้ดีก็เป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นถ้าจะเป็นเด็กสองภาษา พ่อแม่ต้องแน่ใจว่าภาษาแม่ต้องแข็งแรงด้วย”

ปั้นเด็กสองภาษาให้ถูกทาง ฉบับพ่อแม่ยุคเออีซี

 

ใช้ภาษาอังกฤษกับลูก ไม่ใช่เป็นครูสอนภาษา 

ก๊อก-จตุพร ตันศิริมาศ เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก bhoomplay ในฐานะคุณพ่อผู้สวมบทบาทพูดภาษาอังกฤษกับลูกเพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้ภาษาอังกฤษให้กับลูกตั้งแต่ขวบปีแรก จนปัจจุบันลูกคนโตสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ สามารถอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาษาอังกฤษได้ตั้งแต่ 7 ขวบ รวมทั้งชมภาพยนตร์เรื่อง Zootopia เสียงซาวด์แทร็กได้เข้าใจเกือบทั้งหมด บอกว่า เดิมทีเขาและภรรยาไม่ได้คิดจะเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กสองภาษา แค่คิดว่าอยากให้ลูกใช้ภาษาอังกฤษได้ดี แต่ปรากฏว่าตอนที่ลูกชายคนโต “น้องภูมิ” อายุได้ 1 ขวบ 2 เดือน ภรรยาของเขาไปเจอหนังสือเด็กสองภาษาสร้างได้ เลยลองศึกษาและเริ่มต้นใช้ภาษาอังกฤษกับลูกอย่างจริงจัง

“ผมไม่อยากใช้คำว่าเลี้ยงลูกให้เป็นเด็กสองภาษา แต่อยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ สิ่งที่ผมทำคือใช้ภาษาอังกฤษกับลูก ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ถามว่าน้องภูมิพูดภาษาไทยหรืออังกฤษได้ก่อน ผมว่าเขาเรียนรู้สองภาษาได้พร้อมกัน แค่เขาเจอใครพูดภาษาไหนมา ก็ตอบภาษานั้นออกไป”

ก๊อก ยอมรับว่าถึงจะเคยไปเรียนที่ต่างประเทศมา 1 ปี แต่การรับบทคุณพ่อที่ต้องพูดภาษาอังกฤษ ก็ต้องทำการบ้านเยอะ เพราะต้องมั่นใจว่าใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องพูดกับลูก เขามองว่าพ่อแม่ทุกคนสามารถพูดภาษาอังกฤษกับลูกได้ อยู่ที่ว่าจะทุ่มเทเรียนรู้เพื่อลูกหรือเปล่า

“ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าจ้างครูมาสอน กว่าลูกจะพูดภาษาอังกฤษได้ขนาดนี้ ก็คงหมดไปเป็นล้าน แต่นี่ผมแค่ใช้เวลาและเรียนรู้ไปกับลูก สำหรับผมนิทานสองภาษาไม่ช่วยอะไร เพราะเรากำลังสอนเด็กให้พูดสองภาษา ไม่ใช่แปลให้ฟัง แบบพูดอะไรแล้วต้องรีบแปล ผมพยายามให้ลูกเห็นรถยนต์ แล้วรู้ว่านี่คือ Car ไม่ใช่เห็นรถยนต์แล้วคิดก่อนว่า รถยนต์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Car เพราะฉะนั้นเวลาผมเล่านิทานให้เขาฟัง ผมจะเล่าเป็นภาษาอังกฤษโดยไม่แปล ยกเว้นแม่เขาอ่านเป็นภาษาไทยก็อ่านไป ไม่ใช่อ่าน This is a house แล้วอีกคนบอกว่า นี่คือบ้าน”

ปั้นเด็กสองภาษาให้ถูกทาง ฉบับพ่อแม่ยุคเออีซี

 

อย่างไรก็ตาม ถึงจะสอนลูกให้พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่ขวบปีแรก แต่ก๊อกยืนยันว่าไม่ทิ้งภาษาแม่เพราะพัฒนาการภาษาไทยเขาก็ต้องก้าวไปด้วยกัน ไปให้ลึกซึ้ง เพราะเป้าหมายของเขาไม่ได้ต้องการให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทย

“ผมยอมรับนะว่าบางทีก็อึดอัด อยากสื่อสารอะไรที่ลึกซึ้งกับลูก แต่มีกำแพงภาษามากั้น แต่ก็พยายามให้ถึงที่สุด ไม่อยากพูดภาษาไทยปนกับภาษาอังกฤษ เพราะจะทำให้ลูกสับสน และทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขี้เกียจคิดคำ อย่างจะบอกว่าบ้าน ก็พูดว่า This is a บ้าน ซึ่งถ้าเขาพูดผมก็ต้องแก้ให้ว่า This is a house ถามว่าจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกถึงเมื่อไหร่ เป็นไปได้คงตลอดทั้งชีวิต เพราะถ้าเป้าหมายของผมคือการสอนภาษาอังกฤษลูกอาจมีวันจบ แต่พอเป้าหมายของผมคือการใช้ภาษาอังกฤษกับลูกมันไม่มีวันจบ”

เบลนด์ภาษาที่สองเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ด้าน อิม-วรินทร์พรรณ์ ตันติวัตนะ ติวเตอร์ที่มีประสบการณ์สอนภาษาอังกฤษมากว่า 5 ปี และเคยเป็นตัวแทนไปฝึกอบรมคอร์ส Trimedia ร่วมกับโปรดิวเซอร์ของบีบีซี เวิลด์นิวส์ ที่ลอนดอน เห็นด้วยกับการส่งเสริมให้เด็กสื่อสารได้อย่างน้อยสองภาษา เพราะเป็นการเปิดโอกาสชีวิตในหลายๆ ด้าน โดยติวเตอร์สาวแนะนำว่า การฝึกฝนพูดภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดคือ การพาเด็กที่ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะพาไปเจอเพื่อนต่างชาติ จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ดี

“อิมเชื่อว่าถ้าเอาเด็ก 2-4 ขวบ ไปคลุกคลีกับเพื่อนฝรั่งวัยเดียวกันแค่ 2 เดือน ก็พูดภาษาอังกฤษได้แล้ว เพราะเขาจะเกิดการเลียนแบบพูดตามเพื่อนเอง ที่สำคัญเป็นการพูดตามความเข้าใจของเขาจากสิ่งที่เห็น ไม่ใช่การแปล อิมเองเรียนปริญญาโทด้านการแปลจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ รู้ดีว่าหลักการเรียนภาษาอังกฤษที่ดีไม่ใช่การแปลสิ่งที่คิดเป็นไทยออกมาเป็นภาษาอังกฤษ เพราะโครงสร้างภาษาไทยกับอังกฤษค่อนข้างต่างกัน เราไม่มี Tense เพื่อบอกเวลาเหมือนภาษาอังกฤษ หรือมี a, an, the บอกปริมาณหรือความเฉพาะเจาะจงของสิ่งที่กำลังพูดถึงเหมือนภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นการฝึกให้เด็กเรียนรู้พูดภาษาอังกฤษแบบเป็นธรรมชาติ แทนที่จะต้องแปลทุกอย่างในหัวจากไทยเป็นอังกฤษนั้นดีที่สุด”

ข่าวล่าสุด

นครชัยแอร์ ผนึก NEX ชิงดีลรถเมล์ไฟฟ้า ขสมก. 1,520 คัน มูลค่า 1.53 หมื่นล้าน