posttoday

4 สิ่งที่ควรบอกสมองเพื่อชีวิตที่มีความสุข

11 ตุลาคม 2558

หนึ่ง “ทุกความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวและไกลตัวสอนอะไรฉันอย่างน้อยหนึ่งอย่างเสมอ”ในเวลาปีหนึ่งๆ

โดย...หนูดี-วนิษา เรซ

หนึ่ง “ทุกความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวและไกลตัวสอนอะไรฉันอย่างน้อยหนึ่งอย่างเสมอ”ในเวลาปีหนึ่งๆ เราต้องรู้จักสัมพันธ์กับผู้คนมากมายและหลากหลายประเภท เราต้องไม่ลืมว่า ในทุกการรู้จัก การร่วมงาน การเรียน ความรัก การเป็นแฟน การเป็นเพื่อน แม้กระทั่งความรักแบบพ่อแม่และแบบลูก ทุกความสัมพันธ์สอนเราไม่ต่ำกว่าหนึ่งอย่างเสมอเกี่ยวกับตัวเราและคนเหล่านั้นบางครั้งเราไม่สามารถเดาล่วงหน้าได้ว่าเราจะทำอะไร ตอบสนองแบบไหน และชอบหรือไม่ชอบคนประเภทไหนจนกว่าจะได้เจอกันจริงๆ และได้มีประสบการณ์ตรงหน้าดังนั้น เราควรบอกตัวเองเสมอว่าไม่ว่าความสัมพันธ์นั้นจะดีหรือไม่ดี แต่ทุกความสัมพันธ์จะสอนเราและทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจคนคนนั้น เข้าใจมนุษย์โดยรวม และเข้าใจตัวเองมากขึ้นเสมออย่ารู้สึกแย่เมื่อเราพบคนไม่ดี เพราะเราจะได้เรียนรู้ว่าเราควรทำอย่างไรหนหน้าเมื่อเจอคนแบบนี้อีก


อย่าเสียใจหรือเสียดายมากเกินไป หากเราต้องตัดคนที่ทำให้ใจเราเกิดพิษออกไปจากชีวิต แต่หากเขาปรับปรุงแก้ไขก็อย่าละเลยโอกาสที่จะให้สิทธิเขาเติบโตเช่นกันตัวเราเองก็ต้องคอยประเมินว่า เราเป็นคนที่เป็นมลภาวะและสร้างพิษในใจให้กับคนอื่นๆ หรือไม่ เพราะบางครั้งเราเองเข้าข้างตัวเองที่สุด และหาข้ออ้างในการเก็บนิสัยที่เป็นพิษไว้ในตัวเพียงเพราะเราขี้เกียจที่จะปรับปรุง ในขณะเดียวกัน เรากลับคาดหวังให้คนรอบตัวปรับปรุง หากเราทำไม่ได้เราก็คงรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่คนรอบตัวจะปรับให้เราลองตัดสินใจใหม่ “ฉันจะเรียนรู้โดยไม่ตัดสิน” ทำความรู้จักกับคน และในโอกาสนั้นทำความรู้จักกับตัวเราเองผ่านประสบการณ์ที่เราปฏิสัมพันธ์กับคนรอบๆ ตัวของเรา

สอง “ฉันเชื่อมั่นว่าอนาคตมีแต่สิ่งที่ดีๆ รออยู่”ความเชื่อ ความงมงาย และการมองโลกในแง่ดี บางครั้งก็มีเส้นบางๆ กั้นระหว่างกันในการวางแผนชีวิตเราอาจกลัวว่าชีวิตข้างหน้านั้นช่างไม่แน่นอน ไม่มั่นคง เราอาจไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน การงาน การเงินความกลัวประเภทนี้เป็นคล้ายการสะกดจิตตัวเองว่าเส้นทางข้างหน้าช่างน่าหวาดกลัวดังนั้น เราควรมาสะกดจิตตัวเองเสียใหม่ให้เกิดประโยชน์กว่าเดิม เพราะความเชื่อของเรามักจะกำหนดสิ่งที่เราต้องประสบพบเจอหากเราเชื่อว่าจะได้เจอสิ่งดีๆ คนดีๆ เราก็มักจะได้เจอสิ่งดีๆ และคนดีๆ อาจเป็นเพราะว่าความเชื่อจะกำหนดพฤติกรรมและวาจาของเราและคนรอบข้างก็จะตอบสนองต่อคำพูดและท่าทางของเรานั่นเองการทำใจให้สบายและเชื่อมั่นว่ามีสิ่งดีๆ รอเราอยู่ในอนาคตเสมอ ก็เหมือนการกำหนดพฤติกรรมตัวเราเองให้เป็นบวก ซึ่งเราก็จะได้รับการตอบรับในเชิงบวกนั่นเอง

สาม “ฉันเลิกกังวลในสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับตัวฉัน”การพัฒนาตัวเองเป็นองค์ประกอบระหว่างการฟังคำติจากคนอื่นและความตั้งใจในการนำมันมาปรับปรุงตัวของเราเองคนที่จะเก่งขึ้นทุกวันคือคนที่เปิดใจรับฟังคำชี้แนะ คำติ คำแนะนำของทุกๆ คนรอบตัวของเราแม้คนที่เราไม่ชอบและพูดในสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเรา อาจมีส่วนที่เขาพูดจริงและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตัวของเราเอง ทั้งในด้านการทำงานและพฤติกรรม นิสัยของเรา หากเราเปิดใจและยกเอาอารมณ์ไปไว้ที่อื่นชั่วคราว เราอาจเลือกเอาเพชรเม็ดงามจากคำติเหล่านั้นมาทำชีวิตให้ดีขึ้นได้แต่จุดที่เกินสมดุลก็คือ เมื่อเรารับฟังในสิ่งที่เป็นลบและไม่เป็นธรรมจากบุคคลที่อาจจะรักเรา หรือไม่ปรารถนาดีต่อเราก็เป็นได้บางครั้งคนที่รักเรามากๆ อาจมีคอมเมนต์ที่เต็มไปด้วยความรัก ความหวงแหน ความกังวล ที่ทำให้เราอึดอัดและรู้สึกกดดันบางครั้งคนที่ไม่รักไม่หวังดีกับเราอาจมีคอมเมนต์ที่จงใจให้เราเจ็บปวด ท้อแท้ และไม่มีความสุขในทั้งสองกรณีเราเองจะต้องหาจุดยืนของตัวเราที่เต็มไปด้วยความสงบ เต็มไปด้วยพลังในทางที่ดี การหลีกเลี่ยงการปะทะแต่ก็พร้อมจะยืนยันในความเป็นตัวตนโดยไม่ทำร้ายจิตใจ หรือทำร้ายจิตใจคนรอบตัวน้อยที่สุดเมื่อเรารู้ว่าเราได้คิดอย่างเป็นระบบและเปิดใจเสมอสำหรับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนา เราจะหาจุดสมดุลเจอเองว่าตรงไหนที่เราไม่ต้องกังวลกับคำพูดและความคิดที่ไม่เป็นธรรม และจุดไหนที่เราควรกังวลและนำมาพัฒนาตัวเองเพื่อให้เราเป็นคนใหม่ที่สมบูรณ์และมีความสุข

สี่ “ตัวฉันคือการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก”ฉันตั้งใจว่าฉันจะเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกๆ ปีปีนี้ต้องดีกว่าปีที่แล้วฉันไม่เปรียบเทียบตัวเองกับใคร แต่ฉันจะเปรียบเทียบตัวฉันวันนี้กับตัวฉันอดีตเท่านั้นฉันวันนี้ต้องเก่งกว่า ดีกว่า และจิตใจสงบเยือกเย็น มีเหตุมีผล มีสติมากกว่าตัวฉันในอดีตฉันไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง เพราะตัวฉันคือการเปลี่ยนแปลงและเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกฉันเชื่อมั่นว่าเราทุกคนเปลี่ยนไปทุกปีหากเราไม่วางแผนให้เราเปลี่ยนในทางที่ดี ที่เก่ง ที่ฉลาดขึ้น เราก็อาจจะไหลไปเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย มองโลกแบบขมขื่น และเลิกไว้ใจโลกแต่หากเราบอกตัวเองว่า โลกนี้คือการเรียนรู้ หากเราทำอะไรพลาด เราโดนทำร้าย โดนหักหลัง ตัดสินใจพลาด ต้องเสียใจ ต้องผิดหวัง ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือกระบวนการที่เราเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้โลก เข้าใจโลกมากขึ้น และเราพร้อมเปิดใจสำหรับการเปลี่ยนแปลง เราจะไม่ต้องกลัวเรื่องร้ายๆเพราะเรื่องที่ดูเหมือนเลวร้ายนั้น แท้จริงอาจเป็นบทเรียนและแง่มุมที่โลกส่งมาขัดเกลาให้เรากลมกล่อมและมีปัญญายิ่งขึ้นแท้จริงแล้วเราควร “เฉลิมฉลองความเปลี่ยนแปลง” เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่เราจะเก่ง ฉลาด และมีความสุขมากขึ้นได้ในทุกๆ ปีลองฝึกบอกสมองเรา 4 แนวคิดนี้ แล้วเราจะพบว่า ทุกการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้เรามีสมองที่ดีและชีวิตที่มีความสุขขึ้นในทุกๆ ปี