posttoday

อย่าบีบให้คนที่เรารัก ต้องเกลียดคนที่เราโกรธ หมากอารมณ์ที่พึงมีในชีวิต

30 สิงหาคม 2558

กาลครั้งหนึ่งเมื่อเกือบ 1,400 ปีมาแล้ว มีอ๋องรูปงาม ชาญฉลาด กล้าหาญฉกาจฉกรรจ์เอาชนะศึกน้อยใหญ่มานับไม่ถ้วน

โดย...นิธิพันธ์ วิประวิทย์

กาลครั้งหนึ่งเมื่อเกือบ 1,400 ปีมาแล้ว มีอ๋องรูปงาม ชาญฉลาด กล้าหาญฉกาจฉกรรจ์เอาชนะศึกน้อยใหญ่มานับไม่ถ้วน ได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้

แต่พระองค์รู้ว่า ไม่ว่างานในสนาม หรือการบริหารงานราชการ ย่อมไม่สามารถทำได้โดยความปรีชาสามารถของคนคนเดียว พระองค์ต้องพึ่งพาความสามารถของขุนศึกและขุนนางรอบกาย ตัวพระองค์เองก็รู้ดี ถึงกับเคยกล่าวว่า “ถ้าข้าปรีชาสามารถยิ่งนักอย่างสโลแกนที่พวกเจ้าพร่ำบอก ข้าจะจ่ายเบี้ยหวัดให้พวกท่านมาหาพระแสงอะไร”

ฮ่องเต้ที่ไม่เหลิงในความเก่งของตัวอย่างนี้หาได้ไม่ง่ายนัก อย่างไรก็ ตามบททดสอบของชีวิตมันต้องยากกว่าที่เราเคยผ่านมันไปได้อยู่เสมอ

ในกลุ่มขุนนาง มีขุนนางอาวุโสตรงเผงอยู่คนหนึ่ง มักทัดทานฮ่องเต้ด้วยคำพูดที่ไม่เกรงใจกันอยู่เนืองๆ มีอันให้ฮ่องเต้ต้องหนวดกระดิกได้เป็นประจำ อย่างไรก็ดีความอดทนและเข้าใจของฮ่องเต้องค์นี้ประคับประคองความสัมพันธ์กับขุนนางคนนี้ได้เรื่อยมา

แล้วก็ถึงวันพีกแตก ร่างกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งถูกขุนนางอาวุโสคัดค้านอย่างสุดตัว ขุนนางคนนั้นโจมตีและวิจารณ์ความเห็นฮ่องเต้อย่างตรงไปตรงมาและเผ็ดร้อน

นี่มันไม่ไว้หน้ากันชัดๆ ฮ่องเต้เดือด

ฮ่องเต้ขบฟันแน่น หน้าแดงก่ำ รู้หรือไม่ว่ากูคือใคร ไอ้ได้คืบเอาศอก เดี๋ยวเถอะมึง ฮ่องเต้คิด แล้ว Walk out ออกจากท้องพระโรงด้วยฝีพระบาทอันดัง

ขุนนางทั้งท้องพระโรงนิ่งงัน ท่านขุนนางอาวุโสนั่น “เสร็จแน่” แต่ขุนนางอาวุโสนั้นไม่มีท่าทางประหวั่นแต่อย่างใด

ฮ่องเต้กลับเข้าสู่ตำหนักใน ถ้าจุ่มหัวล้างหน้าตอนนั้น น้ำคงเป็นควันพวยพุ่ง ไอ้แก่มึงเป็นใคร ไอ้สารเลว

ฮองเฮาสุดรักของฮ่องเต้องค์นี้ ทรงเห็นองค์ฮ่องเต้หนวดชี้เดินกระแทกพระบาทกลับมาก่อนเวลาอันควร ก็รู้ดีว่าสถานการณ์ไม่ปกติ

ฮ่องเต้เห็นฮองเฮาอยู่ใกล้ๆ จากที่ปากบ่นพึมพำเคียดแค้น เลยแผดสุรเสียงอันดังออกมา อันเป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ทั่วไปที่อยากส่งสัญญาณหาเพื่อนระบายความโกรธว่า “วันนี้กูจะกุดหัวมัน! ไอ้เฒ่าหัวดื้อ!”

ฮองเฮาทรงเข้าซักถามถึงเรื่องราว ฮ่องเต้ก็ทรงเล่าระบายให้ฟัง ฮองเฮาไม่ว่ากระไร เดินหายไปซักพัก ปล่อยฮ่องเต้นั่งควันออกหู

แล้วฮองเฮาก็ปรากฏกายอีกทีพร้อมทรงชุดพระราชพิธีเฉลิมฉลอง ที่สวมใส่เฉพาะงานครั้งใหญ่เท่านั้น ฮ่องเต้ถาม “เธอแต่งตัวอย่างนี้ทำไม”

พระนางกล่าวว่า

“กระหม่อมขอยินดีแทนพระองค์ที่มีขุนนางที่จงรักภักดีอยู่ข้างกาย ขุนนางท่านนั้นกล้าทัดทานพระองค์โดยไม่เกรงกลัวอาญา น่าจะทรงพอพระราชหฤทัยมากกว่าที่จะทรงกริ้ว ขุนนางเช่นนี้นี่แหละที่จะทำให้ราชวงศ์ของพระองค์คงจะยิ่งใหญ่ต่อไปอีกนาน”

ฮ่องเต้ฟังได้สติ คลายความโกรธ ลดทิฐิ แล้วพิจารณาข้อทักท้วงของขุนนางอาวุโสท่านนั้นใหม่ ก็เห็นว่ามีเหตุผลดีจึงคล้อยตาม

จากเหตุการณ์นี้ หลายคนชื่นชมสติปัญญาของฮองเฮา หลายคนชื่นชมความเถรตรงของขุนนาง หลายคนชื่นชมการลดอัตตากลับตัวกลับใจได้ของฮ่องเต้ ซึ่งที่จริงก็น่าชื่นชมทั้งหมด

แต่เรื่องราวสอนใจเหล่านี้ เมื่อปรากฏในชีวิตจริง ทำไมบ่อยครั้งจึงไม่สวยหรูแบบในนิทาน

ก็คงเพราะตอนอ่าน อ่านด้วยเหตุผล แต่ “เรื่องจริง อารมณ์ล้วนๆ”

เรื่องนี้จึงไม่ใช่สถานการณ์หมากทางเหตุผล แต่เป็นสถานการณ์การเดินหมากทางอารมณ์ หลักฐานก็คือ ไม่เคยมีใครมาสนใจว่าฮ่องเต้กับขุนนางพิจารณากฎหมายฉบับไหน ด้วยข้อโต้แย้งอะไร และอย่างไร

ย้อนกลับมาดูตัวเรา ไม่มีใครไม่เคยโกรธ เมื่อโกรธก็มักตามด้วยความเกลียด

เมื่อเกลียด ก็อยากให้ทุกคนในโลกเกลียดตาม จึงต้องใส่ไฟจุดคบเพลิงส่งถ่ายความเกลียดให้ผู้คนอื่นได้ถือไว้เหมือนกับเรา

กลยุทธ์การใส่ไฟมีทั้งขยายเรื่องให้ใหญ่โตเกินจริง ใส่เรื่องเสียๆ หายๆ ที่เคยเกิดขึ้นเรื่องอื่นเข้าไปด้วย บางครั้งถึงขั้นสร้างเรื่องปลอมๆ ปนลงไปก็มี ถ้าคนที่ฟังเราร่วมผสมโรงด้วย ยิ่งได้ใจ ไม่ว่าจะผสมโรงเข้าไปผิดๆ ถูกๆ ก็ไม่ว่ากัน ขอให้โกรธเกลียดเป้าหมายเดียวกันเป็นพอใจ

หากมีคนไม่เห็นด้วย ก็มักไม่พอใจ บางทีก็ฟาดงวงฟาดงาโจมตีคนที่ไม่เห็นด้วยซะเลย เพราะมีความรู้สึกว่า พวกกันต้องโกรธต้องเกลียดเป้าหมายเดียวกัน

อันที่จริง ปรากฏการณ์นี้ก็เป็นกันกับมนุษย์เกือบทุกผู้ มากบ้างน้อยบ้าง เมื่ออคติเข้าครอบงำ สร้างเรื่องเข้าข้างตัวเอง เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ยิ่งพวกเยอะ ยิ่งรู้สึกดี

หมากฮ่องเต้ย่อมต้องสุมไฟรุกไล่หมากขุนนางอาวุโสให้หมากฮองเฮาฟัง ไม่มากก็น้อย เพื่อหวังให้หมากฮองเฮาร่วมพิฆาตหมากขุนนางด้วย

ยากนะครับที่จะทำให้ความโกรธแบบนั้นกลับตัวกลับใจพิจารณาอะไรใหม่ แล้วอะไรทำให้หมากฮองเฮาพลิกเกมสำเร็จ

จะว่าไป ส่วนสติปัญญาของฮองเฮาองค์นี้จัดว่าเหนือชั้น นอกจากถามไถ่ให้เล่าความเป็นมา แล้วยังพิจารณาอย่างแยกแยะอคติ เสร็จแล้วไม่ต่อต้านทันที สร้างเซอร์ไพรส์เบี่ยงประเด็นให้งงงวยด้วยชุดทรงไฉไล แล้วค่อยกระชากใจให้หมากฮ่องเต้ใจเย็นลง

แต่ด้วยสติปัญญาเท่านั้นหรือที่ทำให้เรื่องนี้สำเร็จ ปัจจัยในการพลิกเกมนี้ น่าจะอยู่ที่หมากฮองเฮาทรงเป็นที่โปรดปราน รู้สึกดี และรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ของหมากฮ่องเต้มาแต่ไหนแต่ไรด้วย

การคัดเลือกหมากเข้าเคลียร์ความขัดแย้งในชีวิตจริงจึงเกิด ปรากฏการณ์ไสไหล่เข้าหากันแล้วบอกว่า “เอ็งเข้าไปพูดสิวะ พี่เขาชอบเอ็งมากกว่าข้า” “พี่เขาสนิทกับเอ็งมากกว่า” เป็นต้น

เสียงทัดทานคัดค้านของคนที่่มีสัมพันธ์และความรู้สึกที่ดีด้วย ย่อมเข้าหูได้มากกว่า และยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าคัดค้านอย่างมีเทคนิค

ใครกันจะกล้ารับรองความโกรธ ของตัวเองว่าถูกต้องรอบด้าน ใครกันจะกล้ารับรองความเกลียดของตัวเองว่าเป็นธรรมทั่วถึง เสียงค้านเสียงทัดทานจึงยังจำเป็นอยู่เสมอ

และหากเสียงทัดทานที่เข้าหูเราได้เป็นของคนที่เรารู้สึกดีด้วย การเหลือคนสนิท คนที่เรารู้สึกดี ที่ไม่ได้พานเกลียดคนที่เราโกรธไว้ ก็คือการวางหมากประคองสมดุลชีวิตให้เราอย่างดี

ปฏิกิริยาที่ชอบบีบให้ผู้คนรอบข้างร่วมเกลียดคนที่เราโกรธ จึงเป็นปฏิกิริยาตัดหนทางกลับตัวมามีเหตุมีผลของเราเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชอบให้คนที่เรารักและรู้สึกดีด้วยต้องเกลียดคนที่เราโกรธไปพร้อมๆ กันกับเรา

ยิ่งชอบให้คนที่เรารักเกลียดคนที่เราโกรธ จึงยิ่งช่วยกันทำให้อคติกู่ไม่กลับและมืดบอดไปเรื่อยๆ ยิ่งพยายามตะล่อมให้คนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเราร่วมเกลียดคนที่เราโกรธซะเอง แท้จริงก็คือยิ่งทำลายสติตัวเอง

หมากเครือข่ายแห่งความสัมพันธ์ของผู้คนรอบตัวเราควรเป็นหมากที่ช่วยกันถ่วงดุลยกระดับให้เราชนะทั้งเกม มิใช่การเดินเกมที่เร่งเร้ารวบรวมให้หมากทั้งหมดพิฆาตหมากที่น่าโกรธเกลียดเพียงตัวเดียว แล้วจบด้วยความพ่ายแพ้ทั้งกระดานเพราะแวดล้อมไปด้วยพรรคพวกแห่งความมืดบอด

หากท่านหันไปแล้วเจอหมากทางอารมณ์ที่ช่วยถ่วงดุลแบบนี้ในชีวิต ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ

ฮ่องเต้องค์นั้นคือ ฮ่องเต้ ถังไท่จง (หลี่ซื่อหมิน) ฮองเฮาองค์นั้นคือ ฉางซุน ฮองเฮา และขุนนางผู้นั้นคือ เว่ยเจิง ทุกคนมีตัวตนในประวัติศาสตร์จริง และเป็นหนึ่งในสุดยอดฮ่องเต้ สุดยอดฮองเฮา และสุดยอดขุนนางในประวัติศาสตร์จีน