posttoday

ถึงเวลาชาวพุทธต้องตื่น ช่วยพระในสามจังหวัดชายแดนใต้

30 มิถุนายน 2558

จากเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่เกิดขึ้นมานานแสนนานจากการกระทำของผู้ก่อความไม่สงบ

โดย...วรธาร ทัดแก้ว

จากเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ที่เกิดขึ้นมานานแสนนานจากการกระทำของผู้ก่อความไม่สงบ ไม่เพียงทำลายชีวิตของผู้บริสุทธิ์คนแล้วคนเล่า แต่ยังทำให้คนอยู่ต้องอยู่อย่างหวาดกลัวเสียขวัญจนหลายครอบครัวโดยเฉพาะคนไทยพุทธ รวมทั้งพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยต้องย้ายถิ่นฐานออกจากพื้นที่อันตรายไปอยู่ที่อื่นเพื่อรักษาชีวิต โดยเฉพาะในช่วง 10 กว่าปีมานี้เหตุการณ์ความไม่สงบได้ทวีความรุนแรงขึ้น แต่ละเหตุการณ์สร้างความสะเทือนใจอย่างมากต่อความรู้สึกของคนไทย

หากยังจำกันได้เหตุการณ์กราดยิงพระและชาวบ้านในปี 2547 ที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ขณะที่กำลังใส่บาตรเป็นเหตุให้พระและชาวบ้านเสียชีวิตรวม 4 ราย บาดเจ็บอีก 10 ราย ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวและอีกหลายเหตุการณ์ต่อมาทำให้ประชาชนและพระสงฆ์ในพื้นที่ต้องอยู่บนความเสี่ยงและเกิดภาวะเสียขวัญไปไม่น้อย บางครอบครัวต้องย้ายออกจากพื้นที่รวมพระสงฆ์ด้วย ทว่าส่วนใหญ่ยังคงปักหลักในพื้นที่ต่อไปแม้ชีวิตจะแวดล้อมด้วยภัยคุกคามก็ตาม แต่ตราบใดที่เหตุการณ์ความไม่สงบยังไม่สงบระงับดับสิ้นอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ เช่น ชาวพุทธและพระอาจลดจำนวนลงเรื่อยๆ วัดร้างอาจผุดขึ้นให้เห็น ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้เป็นเช่นนั้น

 

ดังนั้น จึงมีสิ่งหนึ่งที่จะทำให้พระสงฆ์ ชาวพุทธ วัดและพระพุทธศาสนาดำรงอยู่ในสามจังหวัดชายแดนใต้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ก็คือกำลังใจจากชาวพุทธทั้งประเทศ มิใช่แค่จากสถาบันกษัตริย์ที่ทรงช่วยเหลือด้วยดีตลอดมา มิใช่แค่การเยียวยาจากทางบ้านเมืองยามเกิดเหตุการณ์เท่านั้น แต่ต้องมาจากหัวใจของคนไทยทั้งประเทศรวมถึงคณะสงฆ์ก็ต้องใส่ใจต่อเรื่องนี้ อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องเดียวดาย

ถึงเวลาชาวพุทธต้องตื่น ช่วยพระในสามจังหวัดชายแดนใต้

 

การเข้าไปช่วยเหลือโดยกลุ่มมัคค์

และเวลานี้ได้มีชาวพุทธกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “มัคค์” (MAK) หรือมัคคานุคา(ผู้ดำเนินตามหนทางแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า) ภายใต้การนำของ “ประเสริฐ อุทัยเฉลิม” อดีตนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชีวิตพลิกผันต้องหันสู่เส้นทางธรรมด้วยการอบรมวิปัสสนากรรมฐานจนได้พบเส้นทางใหม่ของชีวิตที่พร้อมแบ่งปันสิ่งดีๆ ในเรื่องของการปฏิบัติแก่คนอื่นๆ ปัจจุบันเป็นฆราวาสสอนวิปัสสนาและผู้ก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรม “สวนยินดีทะเล” อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้เริ่มนำความช่วยเหลือไปสู่พระสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้

ด้วยการช่วยวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาไม่ถึง 5 รูป ซึ่งไม่สามารถรับกฐินได้ด้วยการมอบเงินให้วัดเพื่อการใช้สอยตามจำเป็น ตามด้วยการถวายตู้พระธรรมให้วัดทุกวัดในสามจังหวัด และการจัดอบรมวิปัสสนาให้กับพระสงฆ์เพื่อการปฏิบัติและนำไปสอนชาวบ้าน โดยหวังแค่การช่วยเหลือของพวกเขาจะเป็นแรงผลักดันให้ชาวพุทธทั้งหลายหันมาตระหนักในการรักษาพระพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนใต้ให้มั่นคงและไม่มีวันเสื่อมสลาย

“โครงการแรกเกิดขึ้นในปี 2557 คือเราจัดกฐินไปถวายวัดในสามจังหวัดที่ไม่ได้รับกฐินเนื่องจากมีพระไม่ถึง 5 รูปตามที่มีพุทธานุญาตไว้ ทั้งหมด 50 วัดจากการประสานข้อมูลจากสำนักพุทธฯ ด้วยการถวายเงินวัดละ 3 หมื่นบาท เพื่อเป็นคาน้ำค่าไฟและค่าอื่นๆ ที่พระจำเป็นต้องใช้ แต่จะเรียกกฐินเลยคงไม่ถูก ความจริงคือทอดผ้าป่าแต่เราเรียกกฐินก็แค่อยากให้เข้ากับกาลสมัยของกฐินเท่านั้น

ต่อมา ในปีเดียวกันก็ถวายถวายตู้พระธรรมพร้อมตู้ยารักษาโรคซึ่งจะถวายให้ครบทุกวัดในสามจังหวัดประมาณ 370 กว่าวัด โดยตู้พระธรรมประกอบด้วยหนังสือและซีดีธรรมะของครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น หลวงพ่อพุทธทาส สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช หลวงปู่มั่น หลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว เป็นต้น โดยเฉพาะซีดีธรรมะมีจำนวนมากและเครื่องเล่นซีดีให้พร้อมโดยถวายไปแล้ว 75 วัด ล่าสุดเมื่อได้นำไปถวายเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมาอีก 40 วัด ซึ่งตราบใดไม่ตายเสียก่อนต้องทำให้ครบทุกวัด

ล่าสุด คือโครงการพระผู้นำการปฏิบัติและเผยแผ่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่จัดขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์ได้ทำหน้าที่ในการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนและเป็นผู้นำทางจิตให้กับชาวบ้านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อวันที่ 18-23 พ.ย. 2557 ณ สวนยินดีทะเล อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช โดยมีพระอาจารย์สิงห์ทอง เขมิโย และพระครูวินัยธรทรงศักดิ์ วิโนทโก (หลวงพ่อเอี้ยน) พระทรงความรู้ในภาคใต้ร่วมเป็นวิทยากร”

ถึงเวลาชาวพุทธต้องตื่น ช่วยพระในสามจังหวัดชายแดนใต้

 

หวังจะเป็นพลังให้ชาวพุทธตระหนัก

เจ้าสำนักสวนยินดีทะเลเล่าถึงแรงบันดาลใจในการเข้าไปช่วยเหลือพระสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ให้ฟังว่า เพราะเห็นว่าพระสงฆ์คือผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้สร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวพุทธในพื้นที่ ที่สำคัญพระสงฆ์เหล่านี้แม้จะอยู่ในท่ามกลางพื้นที่ที่อันตรายรอบด้าน เวลาจำวัดก็หลับไม่สนิท แต่ก็ไม่คิดจะทอดทิ้งพื้นที่และชาวบ้านไป ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่งจะหันหลังและทิ้งพุทธบุตรไปได้อย่างไร ประกอบกับก่อนนี้เคยไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่ประเทศบังกลาเทศที่เมืองจิตตะกองจนมีประชาชนหันมาศรัทธา และกุลบุตรหันมาบวชในพระพุทธศาสนามากขึ้นเป็นลำดับ จึงทำให้ต้องย้อนกลับมามองประเทศบ้านเกิดแล้วก็เห็นว่า สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่อาจวางใจได้ตราบใดที่เหตุการณ์ความรุนแรงยังไม่มอดดับถาวร

“ผมเคยไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่บังกลาเทศโดยไม่เคยคิดมาก่อนปัจจุบันก็ยังทำอยู่ ปรากฏผลน่าชื่นใจมากเพราะคนที่นั่นสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น สังเกตได้หลังจากไปฟื้นฟูไม่กี่ปีก็มีกุลบุตรหันมาบวชจำนวนมาก ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมคิดย้อนกลับมาว่าในเมื่อทำให้บ้านอื่นเมืองอื่นได้ทำไมไม่ทำให้บ้านเกิดเมืองเกิดของตัวเอง นี่จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ผมต้องหันมามองถึงความมั่นคงของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่นับวันน่าห่วงจากผลพวงจากการก่อความไม่สงบ โดยการที่ผมและกลุ่มมัคค์ได้นำความช่วยเหลือไปสู่พระสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะเห็นว่าท่านคือเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน อย่างน้อยมีท่านอยู่ชาวบ้านก็พลอยอุ่นใจ ประกอบกับความช่วยเหลือที่ผ่านมายังลงไปน้อยมากจนพระและชาวบ้านรู้สึกว้าเหว่เหมือนถูกโดดเดี่ยว”

วิปัสสนาจารย์ฆราวาส กล่าวต่อว่า สิ่งที่ทำนั้นส่วนตัวไม่หวังอะไร แค่อยากให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญในการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาในสามจังหวัดชายแดนใต้สืบไป เพราะสถานการณ์ในเวลานี้ยังไม่ถือสายเกินไป แต่ถ้าพากันนิ่งเฉยเสียไม่ทำอะไรเลยอาจจะสายเกินแก้ได้

“เท่าที่ผมได้สัมผัสกับพระสงฆ์ในสามจังหวัดจากการที่ได้ลงไปถวายปัจจัยให้วัดที่ไม่ได้รับกฐิน จากการไปถวายตู้พระธรรม หลายรูปได้สะท้อนความรู้สึกออกมาให้ฟังว่าบางครั้งก็อยู่ด้วยความระแวดระวัง นอนไม่อิ่ม บางครั้งปฏิบัติศาสนกิจได้ไม่เต็มที่นัก แต่ก็พร้อมที่จะอยู่ต่อไปไม่ยอมทิ้งชาวบ้านไปไหนแน่นอนแม้ความตายจะพรากชีวิตไปก็ตาม เอาจริงๆ ตอนนี้จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นท่านไม่ถึงกับมีปัญหามาก ถ้าจะมีบ้างก็คือการปฏิบัติศาสนกิจ การประกอบพิธีในวันสำคัญ เช่น การเวียนเทียนต้องทำในช่วงกลางวัน และกิจวัตรบางอย่าง เช่น การออกบิณฑบาตในบางพื้นที่ต้องงดไปเพราะทหารขอให้หยุดไปก่อนเกรงจะได้รับอันตรายทั้งทหารทั้งพระทั้งญาติโยม”

ถึงเวลาชาวพุทธต้องตื่น ช่วยพระในสามจังหวัดชายแดนใต้

 

เสียงสะท้อนจากพระสงฆ์ในพื้นที่

พระครูวิสิฐพรหมคุณ เจ้าอาวาสวัดพรหมนิวาส จ.นราธิวาส กล่าวว่า เดิมเป็นคนประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี แต่ย้ายมา จ.นราธิวาส ในปี 2547 โดยเป็นพระในโครงการกองทัพธรรม กองทัพไทยตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่มีพระราชประสงค์ให้พระมาช่วยกันจากปัญหายาเสพติดระบาดในพื้นที่ซึ่งลงมาหลายรูป แต่บางรูปก็อยู่ได้ปีสองปีก็กลับไปหมดเพราะกลัวภัย

“ตอนนี้เหลืออาตมาอยู่คนเดียวไม่ได้กลับ คณะสงฆ์เลยให้มาปกครองที่วัดพรหมนิวาสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนเหตุผลที่ไม่กลับเพราะยังมีภารกิจงานพระศาสนาที่ตั้งอธิษฐานจิตไว้แต่แรกต้องทำให้สำเร็จและอยู่ทำงานต่อไปเท่าที่จะทำได้ตามกำลังและความสามารถ คือทำอย่างไรให้ชาวพุทธอยู่ได้ในพื้นที่ และทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่กลับมาสมานฉันท์กันจากที่มีเหตุการณ์คนไม่หวังดีมาบิดเบือนให้คนรุ่นใหม่เข้าใจกันผิด นี่คือภารกิจหลักที่ต้องทำให้สำเร็จจนกว่าชีวิตจะหาไม่”

เจ้าอาวาสวัดพรหมนิวาส เล่าถึงภารกิจให้ฟังคร่าวๆ ว่า นอกจากการปฏิบัติศาสนกิจที่พระสงฆ์ทั่วไปทำอยู่แล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำอยู่ตลอดคือจัดอบรมให้ความรู้แก่เยาวชนทั้งพุทธและมุสลิมอยู่เสมอ โดยมีการเชิญวิทยากรผู้ทรงความรู้ทั้งสองฝ่ายมาให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักปฏิบัติศาสนาของแต่ละศาสนา เช่น บางคนบอกว่ามุสลิมเข้าวัดไม่ได้ ก็จะให้ผู้รู้ของศาสนาอิสลามมาให้ความรู้ว่าที่สุดของเรื่องเป็นอย่างไร นี่คือสิ่งที่ทำตลอดพร้อมกับคณะสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้

เมื่อถามถึงการเข้ามาช่วยเหลือพระสงฆ์ในสามจังหวัดของผู้นำกลุ่มมัคค์ “ประเสริฐ” เจ้าอาวาสวัดพรหมนิวาสได้แต่หวังจะเป็นพลังให้ชาวพุทธหันมาตระหนักและให้ความสำคัญกับพี่น้องชาวพุทธและพระสงฆ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น เพื่อทุกคนจะได้มีขวัญกำลังใจในการที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไป

“ปกติความช่วยเหลือที่น้องชาวพุทธและพระสงฆ์ในสามจังหวัดที่ทุกคนได้รับอยู่เสมอคือจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ แต่ถ้าจากเอกชนหรือองค์กรต่างๆ แม้ยังมีอยู่บ้างแต่ก็ยังถือว่าน้อยมาก จนบางครั้งทั้งพระและชาวบ้านเองก็อดรู้สึกเหมือนถูกโดดเดี่ยวอยู่เหมือนกัน ซึ่งพระเองไม่ได้หวังอยากได้นั่นได้นี่หรอกแต่อยากได้กำลังใจมากกว่า”

ถึงเวลาชาวพุทธต้องตื่น ช่วยพระในสามจังหวัดชายแดนใต้