posttoday

สศค. เผย 5 สาเหตุอาจกระทบเศรษฐกิจไทย จากเหตุขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน

17 เมษายน 2567

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาด สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ส่งกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่ไม่มากนัก ชี้ความผันผวนของตลาดเงิน ตลาดทุน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกระทบกับเศรษฐกิจไทย

นายพรชัย  ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. เปิดเผยว่า สศค. ได้ติดตามและประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิดตั้งแต่สถานการณ์ความขัดแย้งเริ่มเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2567

โดย สศค. ประเมินว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยไม่มาก ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่อยู่ในวงจำกัด และการหาทางออกของความขัดแย้งของประเทศต่าง ๆ ทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ ดังนี้ 

สศค. เผย 5 สาเหตุอาจกระทบเศรษฐกิจไทย จากเหตุขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน
 

1. ตลาดเงินและตลาดทุนโลกและไทยที่มีความผันผวน โดยจะเห็นได้ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งทำให้ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนได้จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลักของโลกที่ปรับตัวลดลงในช่วงวันหยุดสงกรานต์ของไทย และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้นสะท้อนการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปสู่สินทรัพย์หลักที่นักลงทุนประเมินว่ามีความเสี่ยงต่ำ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวลดลงในวันนี้ (17 เมษายน 2567) มาจากปัจจัยความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเช่นเดียวกัน ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดทำการหลังวันหยุดสงกรานต์ ประกอบกับยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น การกำหนดวันจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยปรับตัวลดลง เป็นต้น

2. ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ราคาน้ำมันดิบและราคาทองคำปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นหลังเหตุการณ์ความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงอยู่ในช่วง 85 - 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เท่ากับช่วงก่อนเหตุการณ์ความขัดแย้ง ทั้งนี้ ประเมินว่าประเทศอิหร่านมีสัดส่วนส่งออกน้ำมันดิบเพียงร้อยละ 1.5 ของการส่งออกน้ำมันดิบในตลาดโลก จึงประเมินว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งไม่ลุกลามจะไม่เป็นปัจจัยทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ 
 

3. การค้าระหว่างประเทศของไทยได้รับผลกระทบน้อย โดยไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอิสราเอลและอิหร่านเพียงร้อยละ 0.27 และร้อยละ 0.05 ของมูลค่าการส่งออกในปี 2566 (284.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ ขณะที่การนำเข้าของไทยจากประเทศอิสราเอลและอิหร่านมีสัดส่วนที่ต่ำเพียงร้อยละ 0.15 และร้อยละ 0.003 ของมูลค่าการนำเข้าในปี 2566 (289.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ตามลำดับ

4. การท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบจำกัด โดยไทยมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากประเทศอิสราเอลและอิหร่านเพียงร้อยละ 1.0 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดในปี 2566 (28.2 ล้านคน) โดยมีการใช้จ่ายคิดเป็นร้อยละ 1.9 ของรายได้จากภาคการท่องเที่ยวต่างประเทศในปี 2566 (1.2 ล้านล้านบาท) ดังนั้น จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยไม่มากนัก

5. การลงทุนของไทยกับประเทศอิสราเอลและอิหร่านยังมีมูลค่าที่น้อยมาก โดยข้อมูลการลงทุนระหว่างประเทศพบว่ายอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงจากอิหร่านในไทย ในปี 2566 มีมูลค่าอยู่น้อยมากที่ 16.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเพียงสัดส่วนร้อยละ 0.01 ของมูลค่ายอดคงค้างเงินลงทุนรวมจากต่างประเทศในไทยทั้งหมด (308.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) 

ทั้งนี้ ในด้านการลงทุนระหว่างไทยและประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง ยอดคงค้างเงินลงทุนโดยตรงจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางในไทย พบว่า ในปี 2566 มีมูลค่าอยู่เพียง 714.85 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเพียงสัดส่วนร้อยละ 0.23 ของมูลค่ายอดคงค้างเงินลงทุนรวมจากต่างประเทศในไทยทั้งหมด ทำให้ผลกระทบด้านการลงทุนโดยตรงจากตะวันออกกลางมายังไทยอาจจะได้รับผลกระทบไม่มากเนื่องจากสัดส่วนมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิจากภูมิภาคดังกล่าวมีสัดส่วนที่ต่ำ

" สศค. ได้ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างใกล้ชิดและเชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายการคลังในระยะต่อจากนี้ไป จะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง" นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สศค. ระบุ