posttoday

เมื่อคนดังหันมาเรียนพุทธศาสตร์

25 เมษายน 2556

มีข่าวดีมาโฆษณาเจ้าข้าเอ๊ย... ชะแว้บไปมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ไม่อยากเชื่อว่าเหล่า “คนดัง” ทั้งดารา นักร้อง

โดย...อจต.

มีข่าวดีมาโฆษณาเจ้าข้าเอ๊ย... ชะแว้บไปมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ไม่อยากเชื่อว่าเหล่า “คนดัง” ทั้งดารา นักร้อง สื่อมวลชน นักการเมือง ข้าราชการ จะหันมาเรียนทางด้านพระพุทธศาสนากันพรึ่บ...จริงไม่ได้โม้ จบไปแล้วก็เยอะ จ่อเรียนอยู่ก็มาก (ได้ยินมาอย่างนั้น)

พูดถึงพุทธศาสตร์ บางคนอาจปรามาสว่าเรียนแล้วไม่เห็น “เท่” ตรงไหนเลย “เชย” บ้างล่ะ ไม่มีอะไรเรียนแล้วหรือ หรือเรียนแล้วจะเอาไปทำมาหารับประทานอะไร อย่างมากแค่ไปเป็นอาจารย์สอนด้านศาสนา อนุศาสนาจารย์ หรือทำงานในองค์กรที่เกี่ยวกับศาสนา...ถ้าให้เท่มันต้องนิเทศ สถาปัตย์ สื่อสารมวลชน หรือกฎหมาย ไปเป็นทนาย อัยการ ศาลโน่น เท่กว่าเยอะ เงินเดือนก็สูง

ขอร้อง! อย่าเพิ่งปรามาสไปต่างๆ นานา บอกได้เลยผู้เรียนแต่ละคนมีโจทย์และคำตอบทุกคนว่าทำไมถึงต้องเลือกเรียนพระพุทธศาสนา แล้วเขาได้อะไรจากการเรียนสายนี้ แต่อย่างน้อยเชื่อว่าพวกเขาได้ปริญญาแห่งการดำเนินชีวิตขั้นสุดยอด ไปฟังจากเขาเหล่านั้นดีกว่าแล้วจะรู้ว่าของดีใกล้ตัวไฉนมองข้ามกัน

อุ๊ ช่อผกา : เหมือนได้พิมพ์เขียวการศึกษาด้านใน

ช่อผกา วิริยานนท์ ผู้คร่ำหวอดกับงานสื่อสารมวลชนมากว่า 20 ปี คือหนึ่งในคนดังที่เรียนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ก่อนนี้เธอมีใบปริญญาตรี สื่อสารมวลชน จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาโท นิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ที่เลือกเรียนด้านศาสนา เธอบอกว่า เพื่อเติมเต็มความเข้าใจในชีวิตตัวเอง แล้วใช้ความเข้าใจนั้นไปสร้างสรรค์ชีวิตคนอื่นๆ ในสังคมให้ดีมากขึ้น

นักสื่อสารมวลชนคนเก่ง เล่าว่า ตอนนี้กำลังศึกษาปริญญาโท สาขาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต ที่สาวิกาสิกขาลัย มหาวิชชาลัยธรรมะเพื่อเยียวยาสังคม ณ เสถียรธรรมสถาน (สาขาของ มจร.) กำลังอยู่ในช่วงของการเขียนวิทยานิพนธ์ โดยเธอเผยว่าความจริงน่าจะจบนานแล้ว แต่ติดขัดในเรื่องเวลาและงาน

“พูดแล้วอาย (หัวเราะ) ตอนนี้รุ่น 5 รุ่น 6 กันแล้วมั้ง แต่อุ๊เรียนรุ่นแรก เมื่อปี 2551 คอร์สเวิร์กจบไปนานแล้ว เหลือทำวิทยานิพนธ์ แต่สอบหัวข้อผ่านแล้ว ปีนี้คงต้องเร่งให้จบเพราะเขาบังคับ หัวข้อที่ทำคือศิลปะการสื่อสารของพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ เนื่องจากอาชีพเราทำงานสื่อสารมาตลอด 20 ปีแล้ว พบว่าการสื่อสารเป็นเรื่องที่ต้องใช้ศิลปะอย่างมาก และการที่จะสื่อสารกับคนที่มีความทุกข์ให้หายทุกข์ยิ่งเป็นเรื่องยาก แต่พระพุทธเจ้าทำสำเร็จแล้ว ซึ่งมิใช่แค่หายทุกข์แต่ถึงขั้นบรรลุธรรมด้วย”

เธอเล่าต่อว่า พระพุทธเจ้าเป็นนักสื่อสารชั้นยอดที่มีวิธีการสื่อสารกับคนอย่างมหัศจรรย์มาก และทรงเป็นต้นแบบของนักสื่อสารมวลชน จึงใคร่อยากเรียนเพื่อที่จะถอดองค์ความรู้มาว่าพระองค์ทรงมีเทคนิควิธี มีกุศโลบาย หรือมีศิลปะในการสื่อสารกับคนที่มีความทุกข์แล้วช่วยให้พ้นทุกข์ได้อย่างไร จึงอยากสกัดความรู้จากเรื่องนี้ออกมาเป็นความรู้ใหม่ๆ ในยุคปัจจุบันที่สามารถเอามาประยุกต์ใช้ได้

สื่อสารมวลชนคนเก่ง บอกว่า สองปีในห้องเรียนได้เห็นความเชื่อมโยงของคำสอนของพระพุทธเจ้า และได้เข้าใจพระพุทธศาสนาในเชิงลึกมากยิ่งขึ้นกว่าสมัยที่ยังไม่ได้เรียน

“อุ๊เคยนั่งสมาธิตั้งแต่ 13 ขวบ พ่อแม่พาไปวัดตั้งแต่เด็กและเรียนพระพุทธศาสนาในโรงเรียนทั่วไป แต่ไม่เห็นภาพชัดว่าคำสอนพระพุทธเจ้าจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไรจนกระทั่งมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานที่เสถียรธรรมสถานเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็ได้เข้าใจธรรมะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นการเข้าใจเป็นชิ้นๆ งาน ถ้าเปรียบเหมือนจิกซอว์ คืออุ๊ไม่ได้สัมผัสจิกซอว์ทุกชิ้น แต่อุ๊มีจิกซอว์บางส่วน ภาพยังไม่สมบูรณ์ แต่การเรียนที่สาวิกาสิกขาลัยทำให้รู้ภาพทั้งหมดเป็นอะไร จากนี้จะค่อยๆ หาจิ๊กซอว์ตัวที่ขาดใส่เข้าไปให้เร็วขึ้นเพื่อให้เห็นภาพใหญ่และเข้าใจในทุกมิติของพระพุทธศาสนาเหมือนได้พิมพ์เขียวการศึกษาชีวิตด้านใน เพราะชีวิตข้างนอกที่ทำมาหารับประทานก็ไม่มีเวลาไหนไปทำเพิ่มคือชีวิตมีงานทำแล้ว ที่เรียนนี้ไม่ใช่เพื่อการทำธุรกิจ แต่เป็นการเรียนเพื่อเติมเต็มความเข้าใจในชีวิตตัวเอง แล้วใช้ความเข้าใจนั้นเพื่อที่จะเอาไปสร้างสรรค์ชีวิตคนอื่นๆ ในสังคมตรงนี้ให้ดีมากขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่ารวยขึ้น”


กบ ปภัสรา : การแสดงกับพุทธศาสนาไปด้วยกัน

ด้าน ปภัสสรา เตชะไพบูลย์ ดารานักแสดงชื่อดังที่ก่อนนี้มีใบปริญญาแล้ว 2 ใบ คือ ปริญญาตรี รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และปริญญาโท รัฐศาสตร์ มหาวิทยารามคำแหง พร้อมประกาศนียบัตรอีกมากมาย แต่ที่เรียนพุทธศาสนาเพราะมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก อีกอย่างเพื่อต้องการศึกษาพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งกว่าที่ผ่านมาที่รู้แค่เผินๆ เหมือนที่หลายๆ คนรู้ ปัจจุบันกำลังศึกษาปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนา ที่ มจร. และอยู่ในขั้นตอนการเสนอหัวข้อวิทยานิพนธ์

“คอร์สเวิร์กจบแล้วค่ะ เหลือวิทยานิพนธ์อย่างเดียว ยังไม่ได้นำเสนอหัวข้อเลย ก่อนนี้มีหลายข้อที่คิดไว้แต่เปลี่ยนบ่อย ตอนนี้มีหัวข้อที่จะเขียนแล้วพระคุณเจ้าและแม่ชีที่เป็นที่ปรึกษาให้หัวข้อมา ท่านว่าให้ทำในเรื่องที่เกี่ยวกับการแสดงของเราจะดีกว่า หัวข้อประมาณว่าพระพุทธศาสนามีบทบาทอย่างไรในการเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งก็จะมีการไปสัมภาษณ์นักแสดงที่ประสบความสำเร็จสัก 1015 คนด้วย”

เธอเล่าบรรยากาศในห้องเรียนว่า ตอนแรกคิดว่าคงเครียดๆ แต่พอเรียนไปแล้วก็รู้สึกสนุก ไม่ว่าจะเรียนศาสนา ปรัชญา ยิ่งเรียนยิ่งอยากรู้ หรืออันไหนที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เช่น ภาษาบาลี ซึ่งมีวิชาบาลี 1 บาลี 2 ก็ค่อยๆ ทำความเข้าใจ สุดท้ายก็ผ่านมาได้ เพื่อนๆ ในห้องเรียนก็น่ารักมาจากหลากหลายอาชีพ รวมถึงทั้งพระและชีที่ต่างได้ให้การช่วยเหลือและคำแนะนำดีๆ ตลอด

“ตอนเรียนในห้องสนุกมาก ยิ่งเรียนไปก็อยากรู้ให้ลึกซึ้งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วเราก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราเรียนนั้น เราได้นำเอามาใช้ในชีวิตของเราทุกวัน ไม่ว่าจะในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา คือเรารู้ว่าจะต้องดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรไม่ให้ประมาท จะเดินอย่างไรให้มีความสุข และเมื่อเจอปัญหาสิ่งต่างๆ เราจะจัดการอย่างไรให้ไม่มีความทุกข์ หรือมีแต่ต้องน้อยที่สุด กบมองว่าเรื่องพุทธศาสนาเป็นเรื่องของศิลปะการใช้ชีวิตที่ถูกต้องเหมาะสม” ดาราสาวทิ้งท้าย


อั๊ส เดอะสตาร์ : นี่สุดยอดปริญญาแห่งชีวิต

เชื่อว่าคนไทยยังคงจำ “อั๊ส เดอะสตาร์ 2ชนัญญา ตั้งบุญจิตร” ได้ ซึ่งปีนั้นเธอเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ปัจจุบันเธอมีชื่อว่า “รินทร์สิตา ธนาเอกเสฏฐ์กุล” โดยเป็นผู้บริหารโรงเรียนอนุบาล Happy TriLingual School และร้านบ้านเรือนไม้ (ร้านอาหารและกาแฟ) ที่ถนนพระราม 2 ซอย 33

ครูอั๊ส เรียนสาวิกาสิกขาลัย รุ่นที่ 2 ในปี 2552 หลักสูตรปริญญาโท สาขาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต ซึ่งตอนนี้ยังไม่จบเพราะยังไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์ แต่เธอบอกว่าตลอดสองปีที่เรียนในห้องเรียน และการปฏิบัติธรรมด้วยการโกนหัวบวชชีตลอดเวลา 3 เดือน ซึ่งเป็นภาคบังคับในหลักสูตรทำให้เธอได้รับ “ปริญญาชีวิตอันสูงสุด” แล้ว

เธอบอกเล่าถึงเบื้องหลังของการมาเรียนที่สาวิกาสิกขาลัยว่า เพราะความอ่อนด้อยต่อโลกธรรม 8 คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ มีสุข มีทุกข์ ที่เมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วไม่อาจรับมือได้ทัน

“ตอนที่ติดเดอะสตาร์ 2 เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย อะไรๆ ก็ดีหมด เกียรติยศ ชื่อเสียง ไปไหนคนแห่ถ่ายรูป งานก็รุม นักข่าวขอสัมภาษณ์ แต่ ณ วันหนึ่งชื่อเสียงเริ่มดร็อป งานเริ่มหด ทำให้ไม่อาจรับธรรมดาของโลกนี้ได้ทัน ช่วงนั้นคุณแม่พาไปปฏิบัติธรรม แล้วเกิดอยากเรียนทางด้านพุทธศาสตร์ ก็ไปเจอที่สาวิกาสิกขาลัย หลักสูตรพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต ซึ่งตอบโจทย์เรื่องนี้เลยมาสมัครเรียน ตอนนั้นอั๊สจบครุศาสตร์ที่จุฬาฯ พอดี แต่ยังไม่ได้รับปริญญาก็มาเรียนโทต่อเลย

ตอนที่เรียนก็โชคดีมาก พี่ๆ ที่เรียนด้วยกันน่ารัก ซึ่งไม่เคยเห็นสังคมแบบนี้มาก่อน เคยอยู่ในวงการบันเทิงก็อีกแบบ ตอนแรกก็บ่นกับพี่ๆ เช่น ทำไมอาจารย์สอนยากจัง พี่ๆ ก็หันมามองอั๊สอย่างเมตตาและไม่มีใครคนไหนบ่นตามอั๊สหรือเห็นตามอั๊สเลย แต่ทุกคนพูดว่าเป็นกำลังใจให้นะ บรรยากาศเหมือนอยู่ในโหมดของเทวดานางฟ้า เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิดเราไปเลย ทำให้อั๊สรู้ว่าโลกไม่ได้มีด้านเดียว ชีวิตสวยงามได้อยู่ที่เรามอง ได้อะไรหลายอย่างมาก”

เธอทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ยังเหลือวิทยานิพนธ์ ยังไม่ได้ทำ ต้องขอทางคุณแม่ (แม่ชีศันสนีย์) ดร็อปไว้ก่อน เนื่องจากไม่มีเวลาเพราะงานยุ่งมากทั้งโรงเรียนและร้านอาหาร แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จะไปเรียนให้จบ แต่ตอนนี้ถึงไม่จบก็พอใจแล้วถือว่าได้ปริญญาแห่งชีวิตไปแล้ว

ดีเจเล็ก : ปฏิบัติมาแล้วควรที่จะรู้ปริยัติเพื่อผลคือปฏิเวธด้วย

ขณะที่ “ดีเจเล็ก” หรือ “ไจตนย์ ศรีวังพล” ผู้อำนวยการ สวพ.91 ที่ตอนนี้กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนา ที่ มจร. ก่อนนี้จบปริญญาตรี มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโท การจัดการภาครัฐและเอกชน จากนิด้า และปริญญาโทอีกใบสาขาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต จากสาวิกาสิกขาลัย

เธอเล่าว่า สนใจในพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยรุ่น เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองจากการศึกษาจากตำราต่างๆ เช่น หนังสือท่านพุทธทาส หนังสือสอนวิปัสสนาของสมเด็จย่า และอื่นๆ เรื่อยมาจนมาเป็นอาสาสมัครเสถียรธรรมสถาน พอแม่ชีเปิดสร้างสาวิกาสิกขาลัยและเปิดสอนปริญญาโทจึงได้มาเรียนด้วยหวังจะได้รู้พระพุทธศาสนาในเชิงปริยัติหรือเชิงวิชาการหลังจากที่เคยปฏิบัติมาแล้ว นอกจากนี้ก็มองว่าที่ผ่านมาปริญญาใบต่างๆ เป็นการเรียนเพื่อออกไปข้างนอก แต่พุทธศาสตร์เป็นการเรียนรู้ข้างในจิตใจซึ่งเป็นรากฐานของชีวิต ซึ่งควรจะเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กๆ

ขณะที่“ดีเจเล็ก”หรือ“ไจตนย์ ศรีวังพล”ผู้อำนวยการ สวพ.91ที่ตอนนี้กำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนา ที่ มจร. ก่อนนี้จบปริญญาตรี มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปริญญาโท การจัดการภาครัฐและเอกชน จากนิด้า และปริญญาโทอีกใบสาขาพุทธศาสตร์และศิลปะแห่งชีวิต จากสาวิกาสิกขาลัย

เธอเล่าว่า สนใจในพระพุทธศาสนาตั้งแต่วัยรุ่น เริ่มปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองจากการศึกษาจากตำราต่างๆ เช่น หนังสือท่านพุทธทาส หนังสือสอนวิปัสสนาของสมเด็จย่า และอื่นๆ เรื่อยมาจนมาเป็นอาสาสมัครเสถียรธรรมสถาน พอแม่ชีเปิดสร้างสาวิกาสิกขาลัยและเปิดสอนปริญญาโทจึงได้มาเรียนด้วยหวังจะได้รู้พระพุทธศาสนาในเชิงปริยัติหรือเชิงวิชาการหลังจากที่เคยปฏิบัติมาแล้ว นอกจากนี้ก็มองว่าที่ผ่านมาปริญญาใบต่างๆ เป็นการเรียนเพื่อออกไปข้างนอก แต่พุทธศาสตร์เป็นการเรียนรู้ข้างในจิตใจซึ่งเป็นรากฐานของชีวิต ซึ่งควรจะเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กๆ

ดีเจคนดัง เผยว่า ตอนเรียนปริญญาโทได้ทำวิทยานิพนธ์หัวข้อการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการทำงานจิตอาสาของอาสาสมัครของ สวพ.91 พอปริญญาเอกก็ยังสนใจเรื่องจิตอาสา จึงทำเรื่องการสร้างเยาวชนจิตอาสาด้วยพุทธบูรณาการ

“การทำงานจิตอาสาเป็นการดำเนินตามอริยมรรคมีองค์ 8 และถ้าสร้างการมีจิตอาสาในสังคมให้มั่นคงยั่งยืนก็จะทำให้สังคมอยู่รอดได้ พี่มองว่าเมืองไทยเวลามีภัยต่างๆ เกิดขึ้นก็จะมีจิตอาสามาช่วยกันเยอะ แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม สังคมบริโภค เข้าสู่วัตถุนิยม แก่งแย่งเหมือนเดิม พี่จึงต้องการทำเรื่องสร้างเยาวชนจิตอาสาด้วยพุทธบูรณาการ อยากศึกษาเรื่องนี้เพื่อที่จะถอดองค์ความรู้มานำเสนอสังคม และถ้าได้โมเดลนี้จากนวัตกรรมของเราก็น่าจะสร้างเยาวชนที่กำลังหาอัตลักษณ์ให้กับตัวเองมาเป็นเยาวชนจิตอาสาแล้วเราจะได้สังคมคุณภาพและมีความสุขไปด้วย”

ดีเจคนดังทิ้งท้ายว่า การที่เรียนพุทธศาสนาอยู่นี้ก็เพื่อให้รู้ตามที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งเรื่องปริยัติและปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามการเรียนพุทธศาสนาเราได้จบปริญญาทุกวัน และปริญญาของพระพุทธเจ้าคือการกำหนดรู้ทุกข์

เพราะพระองค์สอนเฉพาะเรื่องทุกข์และการดับทุกข์