posttoday

ณิชชา ธนาลงกรณ์ ‘ทุกอย่างจะไม่สูญ ถ้าท้อแต่ไม่ถอย’

07 กันยายน 2560

ณัฐ-ณิชชา ธนาลงกรณ์ ทายาทแบรนด์ชุดชั้นในจินตนา

เติบโตมาจบครบ 4 ปีแล้วสำหรับแบรนด์ไทยน้องใหม่อย่าง “ณิชชา” (Nicha) ผลผลิตจากความตั้งใจและแพชชั่นที่มีต่อแฟชั่นของ ณัฐ-ณิชชา ธนาลงกรณ์ ทายาทแบรนด์ชุดชั้นในจินตนา ลูกสาวคนเดียวของวิยะดา ธนาลงกรณ์ และโสฬส เอี่ยมอมรพันธ์

จากก้าวแรกถึงวันนี้ สาวร่างเล็กที่พกพาความมั่นใจมาเต็มร้อยยอมรับแบบไม่กลัวเสียฟอร์มเลยว่า ไม่ง่ายเลย ล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ เคยท้อถึงขั้นอยากจะทิ้งทุกอย่างก็หลายหน แต่เหตุผลเดียวที่บอกตัวเองให้สู้ต่อคือ แพชชั่น

“ณัฐรักแบรนด์นี้ เพราะแบรนด์ณิชชาเกิดจากความรักในศิลปะและแฟชั่นของณัฐ ณัฐรักทีมงานทุกคนที่ต่อสู้ด้วยกันมา แบรนด์นี้สอนอะไรณัฐหลายอย่าง จากเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้อะไรเลย อาศัยว่าเรียนด้านไฟน์อาร์ต ชอบวาดรูป พอมีพื้นฐานด้านศิลปะและการออกแบบ แต่ความรู้ด้านธุรกิจเท่ากับศูนย์ พอมาทำแบรนด์ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่หมด ตั้งแต่เรื่องต้นทุน การบริหารให้อยู่รอด” สาวสวยที่วันนี้ดูเซ็กซี่ในชุดลูกไม้สีขาว ผลงานล่าสุดจากคอลเลกชั่น Reminiscence ซึ่งเธอถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงคุณยายอย่างสุดหัวใจออกมาเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ภาคภูมิใจ

ณัฐ บอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย แต่แฝงไปด้วยความเศร้านิดๆ เมื่อพูดถึงคุณยายผู้เป็นที่รัก “ทำแบรนด์มา 4 ปี คอลเลกชั่นนี้เป็นคอลเลกชั่นที่ 8 ตอนที่จะเริ่มทำก็มีตันๆ บ้าง คิดไม่ออก ในช่วงที่ณัฐพยายามกระตุ้นให้ตัวเองมีไฟในการทำงานอีกครั้ง

ณัฐคิดถึงคุณยาย ซึ่งท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ณัฐอยากทำแบรนด์ ณัฐเลยเลือกนำความคิดถึงนี้มาถ่ายทอดในผลงาน จะเห็นว่าคอลเลกชั่นนี้ณัฐหยิบเอาลูกไม้ บราคอร์เซตมาใส่ ให้กลิ่นอายของแฟชั่นยุคทศวรรษที่ 1950 แบบไทยๆ ย้อนวันวานไปสมัยคุณยายยังสาวและเริ่มต้นสร้างแบรนด์ชุดชั้นในจินตนา”

สำหรับเด็กผู้หญิงที่มีคุณยายเป็นไอดอลมาตลอดชีวิต เธอบอกว่าคุณยายเป็นตัวอย่างของผู้หญิงเก่งและแกร่ง สร้างธุรกิจมาด้วยตัวเอง “คุณยายณัฐเท่และสตรองมาก ท่านไม่เพียงเป็นตัวอย่างในเรื่องของการทำงาน แต่ยังเป็นเจ้านายที่ดี ดูแลลูกน้องอย่างดี ในขณะเดียวกันยังทำหน้าที่ในฐานะยายและแม่ที่ดีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 

ณิชชา ธนาลงกรณ์ ‘ทุกอย่างจะไม่สูญ ถ้าท้อแต่ไม่ถอย’

เวลาที่ณัฐท้อแท้ ณัฐจะคิดเสมอว่าตอนที่คุณยายสร้างธุรกิจก็ไม่ได้ใช้เวลาแค่ไม่กี่ปี แต่กว่าจะสร้างแบรนด์ได้ ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-4 ปี เพราะฉะนั้นวันนี้สิ่งที่ณัฐพยายามทำอยู่คือการค่อยๆ สร้างแบรนด์ณิชชา”

ดีไซเนอร์ไซส์มินิ แต่มีเลือดนักสู้อยู่เต็มตัว บอกเล่าด้วยแววตาเป็นประกายว่า ช่วง 3 ปีแรกของการทำแบรนด์ เหมือนการค้นหาตัวเอง ยังอยู่ในช่วงลองผิดลองถูก แต่พอก้าวสู่ปีที่ 4-5 ถึงจะเป็นช่วงที่ค้นหาตัวเองเจอแล้ว สำหรับณิชชาเองก็เช่นกัน หลังจากเข้าสู่ปีที่ 4 ณัฐคิดว่าตอนนี้เราเริ่มค้นพบแล้วว่าแบรนด์เราอยู่ตรงไหน และจะสร้างสตอรี่ของแบรนด์เราต่อไปอย่างไร

“ถ้าเข้าไปในไอจีของแบรนด์ตอนนี้ จะเห็นว่าแต่ละภาพที่โพสต์ลงไปถูกออกแบบมาแล้วว่าให้ร้อยเรียงกัน ทั้งหมดเกิดจากกระบวนการคิดเป็นอย่างดี เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของแบรนด์ณิชชาออกมาในแบบที่เราตั้งใจ

รูปทุกรูปที่เห็นณัฐเป็นคนรีทัชเองหมด เรามีทีมงานที่ทำหน้าที่คิดแคปชั่น เพื่อบรรยายในแต่ละภาพโดยเฉพาะ เราคิดเสมอว่าเราไม่ได้แค่ต้องการทำเสื้อผ้าเพื่อขาย แต่เรากำลังนำเสนอเรื่องราวและแรงบันดาลใจผ่านเสื้อผ้า ณัฐอยากให้ผลงานที่เราทำออกมาเป็นที่จดจำ

ณัฐคงไม่กล้าเอาแบรนด์เราไปเปรียบเทียบกับปราดา (Prada) แต่แค่มาลองนั่งคิดดูว่าทำไมลูกค้าถึงยอมจ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อปราดา ทั้งที่อาจจะไม่ได้ชอบทุกคอลเลกชั่นที่ออกมา คำตอบคือที่ซื้อเพราะเรามีความเชื่อในแบรนด์ ณัฐถึงได้บอกว่าเราพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุด พยายามสร้างแบรนด์ของเราให้แข็งแกร่ง เจอข้อบกพร่องตรงไหนก็พยายามปรับ”

จากวันแรกที่ล้มแล้วลุกมาหลายครั้ง วันนี้ณิชชามาถึงจุดที่พอยิ้มได้ เริ่มมีลูกค้าต่างประเทศ ทั้งจีน อินเดีย ออสเตรเลีย และยุโรป แม้จะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็เป็นกำลังใจให้เดินต่อไป

“เมื่อไหร่ที่ณัฐท้อแล้วหยุด ทุกอย่างที่ทำมาจะสูญเปล่า เงินทุนที่ณัฐยืมคุณแม่มา กำลังใจจากคนรอบข้างที่ให้เรามาตลอดก็สูญเปล่า ณัฐคิดเสมอว่าณัฐไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้ ถึงณัฐจะไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบให้มีความอดทนต่ออุปสรรคสูง แต่ครั้งนี้ณัฐสู้สุดใจ เพราะณัฐรู้ว่าเป้าหมายของณัฐคืออะไร ณัฐอยากเป็นใคร ณัฐอยากเป็นแบบคุณยาย เพราะฉะนั้นณัฐต้องอดทน และไม่หยุดที่พัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะถึงแม้เราจะไม่ได้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่น หรือคิดว่ากำลังแข่งกับใคร แต่เมื่อไหร่ที่เราหยุด คนอื่นก็จะวิ่งแซงหน้าเราไป”

สาวสวยยังเปิดอกเผยแบบตรงไปตรงมาอีกว่า ช่วงท้อหนักๆ เคยคิดว่าแค่ปิดแบรนด์แล้วไปเรียนต่อเมืองนอกก็ได้ “แต่พอคิดว่านั่นเป็นทางออกหรือการวิ่งหนีปัญหา ด้วยการหลอกตัวเองว่าฉันมาเรียนต่อ ไม่ได้ทำธุรกิจล้มเหลวมา ณัฐเลือกขอสู้อยู่ตรงนี้ดีกว่า

เป้าหมายของณัฐจากนี้คือ อยากให้แบรนด์ณิชชาได้ไปอวดโฉมบนเวทีแฟชั่นระดับโลก และสามารถครองตลาดแฟชั่นในประเทศใดประเทศหนึ่ง เพราะถึงแม้ตอนนี้จะเริ่มมีลูกค้าต่างชาติ แต่ก็ยังไม่ได้มีตลาดของประเทศไหนที่พูดได้ว่าเป็นลูกค้าหลักของเรา ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่าคอลเลกชั่นที่ออกมาถูกใจลูกค้าชาติไหนมากกว่า”

นอกจากเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมแล้ว ณัฐยังวาดฝันว่าจะทำอย่างไรให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน “ณัฐว่าการทำแบรนด์เสื้อผ้าก็เหมือนการขึ้นเขา พอเดินขึ้นมาถึงจุดหนึ่ง ก็จะเจอกับจุดให้พักชมวิว ก่อนจะเดินขึ้นไปต่อ ซึ่งถ้าใครเลือกที่ไม่ไปต่อ ก็มีทางเดียวคือต้องเดินลงเท่านั้น สำหรับณัฐ มาถึงวันนี้คิดว่าตัวเองทำดีที่สุด เต็มที่ที่สุดแล้ว และจะเดินหน้าต่อไปอย่างดีที่สุด

ถ้าถามณัฐวันนี้ว่าหากย้อนเวลากลับไปได้จะเลือกเดินถนนเส้นนี้ไหม แน่นอนค่ะ” ณัฐตอบด้วยแววตามุ่งมั่น ก่อนจะคลี่ยิ้ม และพูดติดตลกว่า ถ้ามาถามเมื่อ 2 ปีที่แล้ว คงบอกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ณัฐขอไม่เริ่มต้นแบรนด์นี้ดีกว่า (หัวเราะ)

ดีไซเนอร์คนเก่งยังบอกด้วยว่า ตั้งแต่เปิดแบรนด์มาเธอเก็บผลงานการออกแบบทุกชิ้นไว้ใส่เองทั้งหมด ส่วนหนึ่ง เพราะผลงานที่ออกแบบเองย่อมถูกใจเธอที่สุดเป็นธรรมดา แต่อีกเหตุผลคือเพื่อนำผลงานทุกชิ้นมาศึกษาหาข้อบกพร่องเพื่อแก้ไข

“ณัฐรับฟังทุกความคิดเห็นทั้งติและชม ณัฐคิดว่าคนเราสำคัญคือต้องรู้จักให้กำลังใจตัวเองและตำหนิตัวเองให้เป็น เวลาที่ณัฐรู้สึกท้อ ณัฐจะเดินไปหน้ากระจกและให้กำลังใจคนในกระจก แต่วันไหนที่ณัฐรู้ว่าตัวเองกำลังเหลิง ทำตัวไม่โอเค ก็จะเดินไปตำหนิคนในกระจกเหมือนกัน

หลายคนอาจจะมองว่าณัฐเกิดมาในครอบครัวที่เลี้ยงดูณัฐได้ ไม่จำเป็นต้องมาลำบากสร้างแบรนด์ ณัฐยอมรับนะคะว่าจริง แต่ถ้าณัฐทำอย่างนั้น ถามว่าความภูมิใจในชีวิตของณัฐคืออะไร ณัฐอยากประสบความสำเร็จด้วยตัวณัฐเอง ณัฐมีเป้าหมายในชีวิต และกำลังพาตัวเองไปให้ถึง แม้ว่าจากจุดที่ณัฐยืนตอนนี้จะอีกไกลก็ตาม” สาวรุ่นใหม่ที่มีมุมมองการใช้ชีวิตน่าสนใจกล่าวทิ้งท้าย