posttoday

วศุมา คณาธนะวนิชย์ บริหารธุรกิจแบบคนรุ่นใหม่

06 กันยายน 2560

ลูกสาวคนโตของหญิงเก่งแห่งวงการโรงแรม ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจ

วศุมา คณาธนะวนิชย์ หรือนูนู่ วัย 27 ปี ลูกสาวคนโตของหญิงเก่งแห่งวงการโรงแรม ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน และปลุกปั้นโรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำบีช รีสอร์ท ต่อจากคุณพ่อจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ล่าสุดได้ส่งไม้ต่อให้กับทายาทรุ่นที่ 3 “นูนู่” ลูกสาวสุดที่รักรับช่วงบริหารงานต่อในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของโรงแรม“นู่เรียนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จาก สคูล ออฟ โอเรียนทัล แอนด์ แอฟริกัน สตัดดีส์ ที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งถือว่าเรียนตามรอยคุณแม่เลยก็ว่าได้ เมื่อเรียนจบก็กลับมาอยู่ที่เมืองไทย 1 ปี โดยช่วงนั้นนู่ได้ค้นหาตัวเองโดยการไปฝึกงานในหลายๆ ที่ ทั้งกลุ่มบริษัทอสังหาฯ บริษัทโฆษณา บริษัทหลักทรัพย์และการเป็นโบรกเกอร์ เพื่อให้รู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองชอบทางด้านไหน

 

ลังจากนั้นนู่ก็บินไปเรียนต่อปริญญาโทด้านกลยุทธ์การตลาดที่อิมพีเรียล คอลเลจ ประเทศอังกฤษจนจบ (ได้เกียรตินิยมอันดับ 2) ซึ่งเป็นการตลาดที่เน้นในเรื่องของออนไลน์เป็นหลัก จึงน่าจะเหมาะกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคนี้พอเรียนจบปริญญาโท นู่ก็พักสมองอยู่ 3-4 เดือน ตลอดระยะเวลานั้น ลึกๆ แล้วในใจก็ยังคิดถึงงานโรงแรมมาโดยตลอด ด้วยความที่คุณแม่ให้เวลาเราไปค้นหาตัวเองแล้ว ท่านจะไม่บังคับ แต่ในเมื่อเราตอบตัวเองได้ว่า ยังไงเราก็มีความผูกพันกับโรงแรมนี้มาตั้งแต่เด็ก นู่จึงเริ่มหันมาช่วยคุณแม่บริหารงานโรงแรมอย่างจริงจัง ตอนนี้ก็ทำมา 2 ปีได้แล้ว โดยเป็นผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ เดอะ รีเจ้นท์ กรุ๊ป ซึ่งไม่ได้ดูโรงแรมอย่างเดียว แต่ยังช่วยดูแลโรงเรียนสอนการโรงแรมของคุณแม่ด้วย และช่วยดูเรื่องการตลาดให้กับกลุ่มบริษัทด้วยค่ะ”

นูนู่บอกว่า หน้าที่ของเธอนอกจากการบริหารงานแล้ว ยังดูแลด้านการตลาดควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการส่งเสริมช่องทางการขายห้องพัก โดยทำแพ็กเกจโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ รวมทั้งดูแลโซเชียลมีเดียของโรงแรม ทั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก พร้อมกับเชิญคนดังๆ ตามเซ็กเมนต์ที่ต้องการจะเจาะตลาดมาพักด้วย

“สำหรับงานหลักด้านการพัฒนาธุรกิจ สิ่งที่นู่ทำตอนนี้ก็คือพยายามหาไอเดียใหม่ๆ โปรดักต์ใหม่ๆ จากการที่ตัวเองได้ไปท่องเที่ยว ได้ไปเห็นมา แล้วจะนำมาประยุกต์ใช้กับโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นการรีโนเวตห้องพักบางส่วน หรือการตกแต่งแลนด์สเคปโดยรอบโรงแรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้นู่ทำเสร็จมา 1 ปีแล้ว จึงถือเป็นผลงานแรกๆ ที่ได้เข้ามาช่วยบริหารงานด้วยความที่โรงแรมของเราเป็นโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีห้องพักถึง 559 ห้อง จึงมีลูกค้าทั้งคนที่มาพักผ่อนเป็นครอบครัว คู่รัก กลุ่มเพื่อนๆ และกลุ่มประชุมสัมมนา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรปด้วย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำที่มาพักครั้งนึงยาวไปเลย 3 เดือน 

ซึ่งโรงแรมเรามีตลาดลูกค้ากลุ่มนี้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากพัฒนาคือการมองหาตลาดอื่นๆ เพิ่มเติม โดยมองว่ามีวิธีไหนที่จะสามารถทำตลาดได้มากขึ้น และตอนนี้ก็อยากจะเข้าถึงกลุ่มนิชมาร์เก็ตให้ได้ พูดง่ายๆ ว่าเราบริหารงานด้วยมุมมองของคนรุ่นใหม่ แต่ก็ต้องมีการปรึกษาคุณแม่ด้วยว่าเห็นชอบด้วยมั้ยอยู่ตลอดค่ะ”

นูนู่บอกว่า งานของเธอนอกจากต้องคุยเรื่องการตลาดกับผู้บริหาร ฝ่ายการตลาด และพนักงานในโรงแรมแล้ว ยังต้องมีการพูดคุยกับลูกค้าเพิ่มเติมด้วย เพื่อดูว่าลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการอะไร เพราะการที่ได้พูดคุยกับทุกฝ่ายอย่างทั่วถึง จะทำให้ทราบถึงโจทย์และทิศทางในการพัฒนาธุรกิจไปในตัวด้วย “ตอนนี้นอกจากโฟกัสธุรกิจโรงแรมไปสู่ลูกค้ากลุ่มต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว เรายังอยากเปิดตลาดไปสู่กลุ่มไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งถือเป็นกลุ่มตลาดใหม่ที่น่าจะมาแรงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ เพราะจุดแข็งของโรงแรมเราคือ มีพื้นที่ที่กว้างขวาง มีต้นไม้ใหญ่ๆ เยอะ โรงแรมติดหน้าชายหาดที่กว้าง จึงเหมาะกับตลาดผู้สูงวัยเป็นอย่างมาก

นอกจากโรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำบีช รีสอร์ท ก็ยังมีเดอะ รีเจ้นท์ ชาเลต์ ซึ่งอยู่บนพื้นที่เดียวกัน มีที่พักติดชายหาดเหมือนกัน แต่เดอะ รีเจ้นท์ ชาเลต์ จะเป็นที่พักสไตล์คอตเทจ ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาจากยุโรป ที่มักจะพักแบบยาวนาน ถ้าเป็นลูกค้าคนไทยก็จะเป็นกลุ่มที่ชอบใกล้ชิดกับธรรมชาติและชอบสัมผัสกับธรรมชาติจริงๆ”

วศุมา คณาธนะวนิชย์ บริหารธุรกิจแบบคนรุ่นใหม่

 

สาวเก่งบอกว่า ตั้งแต่เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจ แน่นอนว่าช่วงแรกๆ ก็อาจพบอุปสรรคบ้าง เนื่องจากพนักงานที่อยู่ด้วยกันมานาน อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจการบริหารงานแบบใหม่ๆ แต่เมื่อโรงแรมได้มีการพัฒนาธุรกิจขึ้น ก็ต้องมีการอธิบายให้พนักงานทุกคนได้เข้าใจโดยพูดคุยกันมากขึ้น เนื่องจากวิธีการทำงานของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แต่เมื่อต้องมาทำงานร่วมกันก็ต้องมีการปรับตัวเข้าหากันให้ดีที่สุด

“เวลาทำงานร่วมกับพนักงานทุกคน นู่จะใช้วิธีคุยกันค่อนข้างเยอะ คุยกันตรงๆ เลยว่าลองเปลี่ยนดูมั้ย ลองทำแบบนี้ดูนะ เพราะเชื่อว่าน่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก การที่นู่ได้มาบริหารงานตรงนี้เพราะเป็นลูกสาวเจ้าของโรงแรมก็จริงอยู่ค่ะ แต่สิ่งที่นู่ต้องทำก็คือ การพิสูจน์ให้ผู้ร่วมงานได้เห็นความสามารถของเรา ว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้จริง ซึ่งภารกิจตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ เพราะรุ่นคุณตา และรุ่นคุณแม่บริหารงานและทำได้ดีมาตลอด ฉะนั้นเมื่อเข้ามาดูแล นู่ก็อยากจะทำให้ออกมาดีที่สุด เพราะเราก็เติบโตมากับโรงแรม เห็นมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้สึกผูกพัน และอยากทำให้พนักงานมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อแขกที่มาพักได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดี ตัวเราก็แฮปปี้ไปด้วย

เคล็ดลับในการทำงานสำหรับนู่ก็คือ ต้องทำงานด้วยใจ มีความสุข สนุก และรักในงานที่ทำ ซึ่งคุณแม่ของเราก็เป็นแบบนั้น แม้บางทีจะมีช่วงที่รู้สึกท้อบ้าง แต่พอได้ไปทำงานจริงๆ มันก็สนุกและหายเหนื่อยไปได้ ส่วนใหญ่แล้วนู่จะทำงานอยู่ที่ออฟฟิศในกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องเดินทางไปประชุมหรือดูงานที่ชะอำสัปดาห์ละครั้งค่ะ”

นูนู่เสริมว่า โรงแรมรีเจ้นท์ ชะอำบีช รีสอร์ท ปัจจุบันเปิดมาได้ 35 ปีแล้ว เธอจึงมีแผนในระยะยาวว่า อยากจะปรับปรุงห้องพักในโรงแรมไปเรื่อยๆ เพื่อเปิดตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้มากขึ้น เพราะยุคนี้การแข่งขันด้านธุรกิจโรงแรมค่อนข้างสูง

“เมื่อมีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เราก็ต้องหาจุดเด่นที่โรงแรมเรามี แล้วชูจุดเด่นนั้นให้เป็นข้อได้เปรียบ ถ้าให้บอกก็คือโรงแรมเรามีจุดแข็งในเรื่องพื้นที่กว้างขวาง โลเกชั่นที่ติดชายทะเล และความร่มรื่นของต้นไม้ อีกส่วนหนึ่งที่พิเศษคือความผูกพันของแขกที่มาพักกับตัวโรงแรม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ ทำให้เรารู้สึกภูมิใจแทนว่า ในยุคที่พ่อแม่เป็นหนุ่มสาวก็พาลูกๆ มาพักที่นี่ และในยุคนี้ที่พ่อแม่สูงวัยขึ้น ลูกๆ ก็พามาพักที่โรงแรมเราเช่นกัน จะพูดว่าเป็นเหมือนความผูกพันก็ว่าได้ ในอนาคตเรามีแผนว่าจะเพิ่มโรงแรมขนาดเล็กจำนวน 70-100 ห้องขึ้นอีก 1 แห่ง แต่ตอนนี้กำลังดูเรื่องการลงทุนและการประเมินงบประมาณอยู่ค่ะ”

สาวเก่งทิ้งท้ายว่า นอกจากเวลาทำงาน 5 วันใน 1 สัปดาห์แล้ว ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ เธอมักจะตื่นแต่เช้าเพื่อเข้าฟิตเนสออกกำลังกาย

“หากมีเวลาว่างนู่จะชอบไปเที่ยวทะเลในเมืองไทย ถ้าเป็นทริปต่างประเทศก็จะไปกับครอบครัว ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ นู่ และน้องชาย อย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง ทุกครั้งที่ได้เดินทางท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน นู่จะคอยสังเกตดูการทำงาน ข้าวของเครื่องใช้ การตกแต่งของแต่ละสถานที่ เพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลความรู้ด้วย เหมือนเป็นการเที่ยวไปด้วย ทำงานไปด้วย ซึ่งมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราไปแล้ว”