posttoday

กันต์ กันตถาวร ‘ผมไม่ยอมเป็นคนไม่เก่ง’

16 กุมภาพันธ์ 2560

เป็นที่รู้จักในบทบาทของนักแสดงมาหลายปี แต่โด่งดังเป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับเสียงชื่นชมในการทำงานก็เมื่อได้ลองงานในบทบาทใหม่

โดย...นกขุนทอง

เป็นที่รู้จักในบทบาทของนักแสดงมาหลายปี แต่โด่งดังเป็นที่รู้จักในวงกว้างและได้รับเสียงชื่นชมในการทำงานก็เมื่อได้ลองงานในบทบาทใหม่ “พิธีกร” ซึ่งส่งให้ชื่อชั้นของ กันต์ กันตถาวร เป็นที่น่าจับตา ยิ่งในขณะนี้ช่องเวิร์คพอยท์เชื่อมือ ป้อนรายการให้ ทั้ง I Can See Your Voice (Thailand) นักร้องซ่อนแอบ The Mask Singer หน้ากากนักร้อง Bao Young Blood ดนตรีสร้างคุณค่าชีวิตและแฟนพันธุ์แท้ซุปเปอร์แฟน

สำหรับพิธีกรที่ยังไม่มีประสบการณ์สั่งสมมาก 4 รายการนับเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ทว่ากันต์ก็ทำได้ดีได้รับดอกไม้มากกว่าก้อนหิน 

“จุดเริ่มต้นที่ผมอยากทำพิธีกร มาจากงานแรกที่ผมทำในวงการบันเทิงคือดีเจ ผมได้อยู่กับปรมาจารย์ในการพูดทั้งหลาย ไม่ว่าจะอาไก่ (สมพล ปิยะพงศ์สิริ) อาตุ่ย (ตุ๊ยตุ่ย-พุทธชาด พงศ์สุชาติ) พี่โป้ง (ณัฐพงษ์ แตงเกษม) พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) พี่อ้อย (นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล) ผมได้เห็นได้รู้ ผมเลยรู้สึกว่าเฮ้ยพี่เขาเก่งมาก เราได้เรียนรู้งานในเชิงพิธีกรกับการเป็นดีเจที่นี่ ได้คลุกคลีและเห็นและรู้ว่ามันยาก แต่ผมต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าผมทำได้ในวันที่ผมเลือกที่จะทำ

คือสำหรับวงการบันเทิงแล้ว คนที่เข้ามาถ้าไม่ได้เริ่มที่งานพิธีกรเลย อย่างนักแสดงผันตัวมาทำพิธีกร เท่าที่เห็นส่วนใหญ่คือไม่ได้เป็นพระเอกแล้ว จากพระเอกเป็นตัวสอง ตัวสาม คือดาวน์ลงเรื่อยๆ อาจจะเป็นเบื้องหลัง เป็นผู้จัด แต่ผมอยากจะเลือกทำในวันที่ผมเลือกได้ ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก เลือกที่จะทำในวันที่ผมยังไม่ได้ดาวน์ลง ในวันที่ผมยังเป็นพระเอก

กันต์ กันตถาวร  ‘ผมไม่ยอมเป็นคนไม่เก่ง’

ผมต้องการพิสูจน์คำถามว่า ทำไมผมมาทำพิธีกรเป็นหลักล่ะ ทั้งๆ ที่ผมยังเป็นพระเอกนะ ผมต้องการคำตอบให้ตัวเองสำหรับคำถามนี้ คือผมต้องการจะบอกว่าถ้าคนเราตั้งใจจริงและรักที่จะทำมันเราต้องทำได้ ผมไม่ได้บอกว่าตัวผมเก่งนะ ผมแค่จะบอกว่าต้องทำได้ดิวะ ถ้าเราตั้งใจกับมันจริงๆ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ไม่เกินความสามารถของมนุษย์หรอก”

มีงานทำก็ดี งานเยอะก็ดี แต่เยอะแล้วไม่สามารถจัดการเวลาให้ชีวิตทำสิ่งที่ต้องการได้อย่างมีความสุขแบบพอดี มันก็ไม่ดี ซึ่งการโหมงานหนักที่ผ่านมา ทำให้กันต์ได้กลับมาคิดทบทวนว่าอะไรคือสิ่งที่อยากทำ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำ

“เมื่อ 3 ปีที่แล้วผมถ่ายละครหนัก ปกติจะถ่ายกันเต็มที่ 7 วัน 2 เรื่อง คิวจะเป็นวันจันทร์ อังคาร พุธ และพฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แต่ผมไม่ ของผมคิวคร่อมวันกันไปหมด เป็นแบบนี้ตลอดระยะเวลา 3 ปี แล้วผมยังมีธุรกิจที่ต้องดูแลอีก

3 ปีนั้นผมไม่มีวันหยุดเลยสักวัน ทำให้ผมได้คิดและกลับมาถามตัวเองว่าเราต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ ผมอยากมีเวลาดูแลครอบครัว กินข้าวกับพ่อแม่ ไปไหนกับแฟนกับเพื่อนบ้าง บาลานซ์ชีวิตเสีย คืองานดีประสบความสำเร็จแต่ที่เหลือจะพังหมดละนะ มันเลยเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ผมคิดว่าเราไม่อยากจะทำอะไรเพราะเราได้ทำหรือเราต้องทำ ถ้าเราจะทำคือเราต้องเลือกที่เราจะทำและเราต้องรักมันมาก

กันต์ กันตถาวร  ‘ผมไม่ยอมเป็นคนไม่เก่ง’

 

อย่างละครเห็นๆ กันอยู่ว่าการแสดงละครเรื่องหนึ่ง 6-7 เดือน บางเรื่องเป็นปี และมันก็เป็นจุดเปลี่ยนว่าเราจะเลือกทำในสิ่งที่เรารักและอยากจะทำมันเท่านั้น ผมยังรักในการแสดง ผมแค่ต้องการแมนเนจชีวิตตัวเองให้มันดีให้มันลงตัวเหมาะสมกับความต้องการของตัวเอง งานละครผมก็จะเลือกแสดงในบทที่ผมอยากเล่นไม่ใช่ต้องเล่น จะถ่าย 2 ปีก็ไม่ว่าเพราะผมอยากเล่น แต่จะไม่ถ่ายละครแบบ 7 วันไม่มีวันหยุดเลย แบบนั้นผมไม่ไหวแล้ว”

พิธีกรคืองานที่เลือกทำ และต้องการพิสูจน์ความสามารถว่าพระเอกก็เป็นพิธีกรได้ดี และยิ่งได้ทำหลายรายการยิ่งได้พัฒนา “จริงๆ ผมยังจับตัวเองไม่ถูกเลยว่าผมเป็นพิธีกรแนวไหน(หัวเราะ) อย่างตอนทำบิ๊กเบนโชว์ (รายการแรก) ผมรู้ตัวเองเลยว่าทำได้ไม่ดีเท่าไร พอมาทำ I Can See Your Voice, The Mask Singer, บาวยังบลัด, แฟนพันธุ์แท้ ผมเริ่มจับแนวได้บ้าง

ด้วยรูปแบบรายการที่มันต่างกัน ผมต้องทำการบ้าน ต้องศึกษาแต่ละรายการว่าต้องเป็นแบบไหน พิธีกรสำหรับผมคือการทำหน้าที่แทนคนดู อันนี้คือหลักพื้นฐาน จากที่ได้รับการสั่งสอนจากปรมาจารย์หลายท่าน พิธีกรต้องถามในสิ่งที่คนดูอยากรู้ ต้องทำในสิ่งที่คนดูอยากทำ รู้สึกในสิ่งที่คนดูรู้สึก แต่ว่ามันจะมีเส้นที่เราจับให้ได้ อย่างแฟนพันธุ์แท้ เราต้องดึงศักยภาพของคนที่มาแข่งออกมาให้ได้ บางทีคนเก่งๆ ไม่พูดหรอกว่าตัวเองเก่ง และเขาจะไม่ค่อยพูดวิธีคิดออกมา เขาจะตอบผลลัพธ์ออกมาเลย แต่ผมต้องทำให้เขาแสดงออกมาว่าเขาเก่ง ผมต้องดึงความเก่งของเขาออกมาให้คนดูได้เห็น ผมต้องถามวิธีคิดเขา

กันต์ กันตถาวร  ‘ผมไม่ยอมเป็นคนไม่เก่ง’

 

อย่างพี่ตา (ปัญญา นิรันดร์กุล) มีผู้แข่งขันเหลืออยู่ 4 คน ถ้าเป็นผมคงจะบอกตอนนี้เหลืออยู่ 4 ตัวเลือกล่ะ ก็เฉยๆ นะ แต่พี่ตาพูดว่า 4 ตัวเลือกจาก 2,000 ตัวเลือก เฮ้ย 4 คนนี้ดูเก่งขึ้นมาทันทีเลยนะ คือพี่ตาทำให้มวลบรรยากาศมันดูสนุกสนาน ดูลุ้น ทำให้ภาพมันชัดขึ้นในสายตาคนดู คือผมจะสังเกตข้อดีของพิธีกรเก่งๆ หลายๆ คนมาปรับใช้

The Mask Singer เป็นการก้าวกระโดดมากสำหรับผม เพราะเป็นพิธีกรคนเดียว แล้วรายการมันใหญ่มาก ผมยังพูดกับพี่แก้ว (ชยันต์ จันทวงศาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตและบริหารศิลปิน ช่องเวิร์คพอยท์) พี่เอาพิธีกรร่วมสักคนไหม (หัวเราะ) ไม่งั้นมันไม่มีตัวชงตัวรับ พิธีกรคนเดียวมันยากนะ อย่าง I Can See Your Voice ผมทำหน้าที่ดำเนินรายการ พี่ลิง (สมเกียรติ จันทร์พราหมณ์) ทำหน้าที่สร้างความสนุกสนาน อันนี้ชัดเจน จะมีการโยนการรับ แต่ The Mask Singer ผมต้องทำหน้าที่ 2 อย่างในคนเดียว คือ ดำเนินรายการ ทำให้คนดูรู้สึกตื่นเต้น แฝงด้วยความสนุก ความตลก โอ้โห อะไรวะ และมันเหนื่อยมาก ต้องมีสมาธิในการฟังมากๆ คนไหนพูดอะไร เพราะเราต้องเอาคำพูดเขามาขยี้ และเราต้องทำหน้าที่ให้มันดูกลมกล่อมกันระหว่างคณะกรรมการกับ The Mask

ผมจะบอกคนใกล้ตัวตลอดว่าช่วยติผมที ถ้าผมยังมีอะไรที่ต้องปรับปรุงให้บอกผมตรงๆ เพื่อที่จะผมได้แก้ไข ผมจะค่อยๆ เก็บรายละเอียดตรงนี้มาศึกษา ผมไม่ได้เก่งแต่ผมทำการบ้านหนัก ผมมานั่งดูตัวเองในรายการเพื่อวิเคราะห์ตัวเองและแก้ไขในจุดที่พลาด จังหวะนี้ผมไม่คมนะ หน้าผมตกไฟ ผมยืนผิดจุด ผมใช้วิธีการทำงานละครของผมมาประยุกต์ ตอนถ่ายละครต้องมีเช็กเทปรายการก็เหมือนกัน ผมจะมานั่งเช็กตัวเองว่ามีอะไรต้องปรับปรุงอีกไหม พลาดตรงไหน มันไม่สามารถจำได้ มันต้องมานั่งดูและแก้ในหัวสมอง ถ้าจำจะดูไม่ธรรมชาติ ไม่สด ทุกอย่างมันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า มันแล้วแต่เทป ผมต้องฟรีสไตล์ และพร้อมจะปรับเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการ คือสำหรับคนอื่นทำยังไงผมไม่รู้ แต่ผมทำแบบนี้”

ความรู้สึกต่อกระแสตอบรับที่บอกว่า กันต์ทำหน้าที่พิธีกรได้ดีกว่างานแสดงนั้น เจ้าตัวเปิดใจว่ารู้สึกดีใจ ภูมิใจมาก ในแง่ของนักแสดง หน้าที่ของนักแสดงคือต้องสวมบทบาทเป็นคนนั้นคนนี้ การที่คนดูจะชอบหรือไม่ชอบ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนักแสดงคนนั้น มันขึ้นอยู่กับบทบาท กับเนื้อเรื่อง หลายปัจจัย แต่พอเป็นพิธีกร นั่นคือบทพิสูจน์เขาต้องการจะหาคำตอบให้ตัวเอง

กันต์ กันตถาวร  ‘ผมไม่ยอมเป็นคนไม่เก่ง’

 

“การเป็นนักแสดงคือการขายความสามารถในการเป็นคนอื่น แต่การเป็นพิธีกรคือการขายความสามารถในการเป็นตัวเอง ผมว่าการเป็นพิธีกรคือการเป็นตัวเอง แล้วคนดูจะมีความสุขกับการเป็นตัวเองของคนๆ นั้น จริงๆ ผมตลกนะ แต่ก็จริงจังด้วย (หัวเราะ) ผมก็เลยใช้จุดนี้ล่ะมาทำงานพิธีกร อย่างแฟนพันธุ์แท้ ไม่ว่าผมจะสนุกสนานขนาดไหน แต่แข่งก็แข่งแพ้ก็แพ้ มันก็เลยกลายเป็นว่าเราอินไปกับรายการด้วย ในรายการอื่นๆ ผมหัวเราะคือหัวเราะจริง ผมไม่ได้มาหัวเราะตามสคริปต์ ผมขำก็หัวเราะ”

เรียกว่าตั้งแต่ย้ายสังกัดมาอยู่เวิร์คพอยท์งานเยอะต่อเนื่อง แต่จังหวะเวลาลงตัว ไม่ต้องโหมงานหนัก งานแสดงมีซีรี่ส์เรื่อง 7 วัน จองเวร 2 กับ 7 วัน จองเวร 3 มีละครเรื่องเทวดาตกสวรรค์ ซึ่งถ่ายทำเสร็จแล้ว และกำลังจะเปิดกล้องละครเรื่องสูตรรักเสน่ห์ร้าย ยังมีงานภาพยนตร์ รักของเรา เดอะโมเมนต์ มีโปรแกรมฉายเมื่อวันที่ 14  ก.พ.นี้เอง

“ละครก็ต้องเลือกบทอะไรที่มันโคตรฉีก ผมจะไม่รับอะไรแบบเดิมๆ ที่เคยรับมา อย่าง 7 วันจองเวร 2 ทั้งเรื่องจะตามหากันต์ คือกันต์หายไปไหนก็ไม่รู้ เทวดาตกสวรรค์เล่นคอมเมดี้ แรงชังที่จบไปก็ดราม่าพีเรียด สูตรรักเสน่ห์ร้ายจะคอมเมดี้แบบแมสๆ เลย แต่หนังรักของเรา เดอะโมเมนต์ คือฉีกจากผมไปเลย ผมเล่นเป็นเกย์ ถ้าผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งแล้วดูมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเกย์ ผมจะไม่ว้าว แต่ถ้าเอาคนที่นักเลงๆ โคตรแมนมาเล่นเป็นเกย์ แล้วคนดูเชื่อได้ มันคือ Success มากสำหรับผม สมมติเอาเต๋า (สมชาย เข็มกลัด) มาเล่นเป็นเกย์ ผมจะว้าว ผมอยากพิสูจน์ว่าผมเล่นได้ ผมไม่ยึดติดกับบทพระเอกเลย บางเรื่องเสนอบทพระเอกมาให้ผม ผมยังขอเล่นเป็นตัวร้ายเลย คือผมจะดู (บทบาท) ว่าผมอยากเล่นมั้ย”

สุดท้ายสำหรับแฟนคลับที่มีกันต์เป็นไอดอล กันต์ฝากบอกว่า เขาไม่ใช่คนเก่ง แต่จะไม่ยอมไม่เก่ง “ผมจะไม่ยอมทำงานออกมาไม่ดี เพียงเพราะวันนั้นเราป่วยหรืออะไรก็ตาม เพราะสุดท้ายมันชื่อของคุณ และมันไม่มีอะไรเกินความสามารถ มนุษย์ถ้าคุณรักและตั้งใจที่จะทำ ผมไม่ใช่ตัวอย่างของคนเก่งหรอกครับ แต่ผมเป็นตัวอย่างได้ คือผมจะไม่ยอมเป็นคนไม่เก่ง”